วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันศุกร์ (๓๐ กันยายน ๒๕๕๙)

ข้าคอยเจ้า จนผมเผ้า เส้นขาวหงอก
แสนช้ำชอก ไยอีเรียม จึงหนีหน้า
แต่วัยหนุ่ม จวบเข้าไป ใกล้ชรา
ข้าคงคอย เรียมของข้า กลับนาไพร
.......
ข้อความหลังภาพที่ไอ้ขวัญเขียนให้อีเรียมเช้าวันนี้ แหม่ แลน่าสมเพดเนาะ เนี่ยะ ลองอ่านดูฮิ


"...พอเห็นหน้าเจ้ากินข้าวไม่ลงคอ ไม่เห็นหน้าเจ้าอุ๊ยกินข้าวหมดหม้อ..." (ดัดแปลงมาจากเพลง "กินข้าวหมดหม้อ" ของไวพจน์ เพชรสุพรรณ)
มาริ้วพี่น้อง มากินกุ๋ยเตี๋ยวก๊ะไอ้เหียขวัญกัน ร่สชาติเค้าเอาได้เลยแหนะ เนี่ยะ ดูฮิ

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันพฤหัส (๒๙ กันยายน ๒๕๕๙)

พฤหัส ทีไร ให้อึดอัด
เหตุเพราะว่า พฤหัส ท่านห้ามถอน
แม้มีเงิน ก็ไม่ได้ ใช้แน่นอน
ต้องยืมเพื่อน ไปก่อน ค่อยถอนคืน
.......
"นี่คุณ วันนี้วันพฤหัส โบราณห้ามถอน(ตังค์)" เมียบอกผัว ผัวเลยต้องกินมาม่า เหอๆๆๆ

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : คาถาจีบสาว (๒๘ กันยายน ๒๕๕๙)

สมัยผมเป็นเด็กๆ อยู่ท้องทุ่งบ้านพังราดไทย ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดร่ะยอง ดินแดนที่ (เขาว่ากันว่า) หนุ่มๆ และสาวๆ ่หน้าตาดีและน่ารั่กกว่าเค้าเช่ดนั้นหนุ่มๆ บ้านเรานะเวลาจะไปจีบสาวคนที่ตัวเองมีใจหมายปองน่ะก่อนไปจะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี เสื้อผ้าจะต้องหาที่ใหม่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ ผมเผ้าต้องหวีให้เรียบแปล้พร้อมใช้ยาแต่งผมยี่ห้อดังสมัยนั้นคือ “ตันโจ” ทาผมให้ได้ทรงที่คิด (เอาเอง) ว่าหล่อเลิศที่สุด อีกอย่างที่สำคัญก็คือ “หน้า” ครับเพราะใครๆ ก็ชอบคนสวยคนหล่อกันทั้งนั้น บางคนโชคดีเกิดมาหน้าตาดี (เช่นผม เหอๆๆๆๆ) ก็ถือว่าได้เปรียบเขา แต่จะหล่อไม่หล่อก็ตามก่อนเอาหน้าซึ่งเป็นสื่อแห่ง “หัวใจ” ไปให้สาวเจ้าได้ยลนั้นจะต้อง “ตบแป้ง” หรือประแป้งให้ดูดี๊ดูดีีชนิดว่าใครเห็นปั๊บจะต้องเหลียวหลังไปดูปุ๊บทุกคนนั่นแหละ แต่...ยัง ยังไม่หมด สิ่งสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือ “การปลุกเสก” หรือเสกคาถาโดยเชื่อกันว่าคาถาที่ว่านี้หากปลุกเสกแล้วจะทำให้สาวเจ้าที่หมายตาหมายใจนั้นลุ่มหลงและตกหลุมรักเจ้าหนุ่มคนนั้นในที่สุดซึ่งจะจริงหรือไม่จริงไม่รู้นะเพราะตอนนั้นผมยังเป็นเด็กอยู่แต่ก็เห็นหนุ่มๆ รุ่นพี่ๆ พอเสกคาถาแล้วออกจากบ้านไปอีตอนกลับมาอีกทีหน้าตายิ้มระรื่นกันทุกคน แสดงว่าต้องได้ผลแน่ๆ
สำหรับคาถาที่ว่ามีดังนี้ครับใครสนใจก็ลองเอาไปใช้ดู ได้ผลยังไงบอกหน่อยด้วยนะ “นะมะพะทะ จิตตะจิตตัง ราชา ปุริโส อิตถิโย มานัง เอหิ จิตตัง ปิยัง มะมะ” โดยโบราณท่านให้นำแป้งหอมใส่ฝ่ามือแล้วเสกด้วยคาถาที่ว่านี้ ๓ จบ รับรองได้ผล
ต่อมาพอตอนเริ่มเป็นหนุ่มผมคิดจะลองเอาไปใช้จีบสาวปากน้ำประแสคนที่มีใจหมายปองดูมั่งก็ทำตามกรรมวิธีที่บอกนี้นี่แหละแต่พอถึงเวลาจะไปจีบเธอจริงๆ กลับไม่กล้าไปซะงั้น แหม่ แลน่าสมเพดเหลือเกินเหียอู๊ด เหอๆๆๆ

สวัสดีวันพุธ (๒๘ กันยายน ๒๕๕๙)

จะตัดน้ำ ตัดไฟ ไม่ได้หนา
โบราณว่า วันพุธ ให้หยุดตัด
แม้จะมี ข้ออ้าง สารพัด
แต่ห้ามตัด น้ำไฟ ในวันพุธ
.......
การตัดน้ำประปา,ไฟฟ้า ฯลฯ ในวันพุธเป็นบาปมหันต์ โบราณท่านห้าม


สำหรับวันนี้ผมนั่งทำงานที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตำรวจภูธรภาค ๕ งานที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นงานธุรการทั่วๆ ไป ตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยและความสามารถของงานก่อนที่จะนำเสนอผู้บังคับบัญชาตามปกติครับ
นึกถึงงาน ลืมอีเรียม เจ้าไปก่อน
เพราะถึงตอน ทำงาน กันแล้วจ้า
แม้อีเรียม หนีไป หลายเพลา
ช่างเถอะน่า เรื่องงาน สำคัญแล
.........
อีเรียมเอ๋ย แม้เจ้าจะหนีข้าไป แต่ข้าก็ต้องตัดใจ เพราะงานสำคัญกว่า เหอๆๆๆ 

จากไอ้ขวัญ
ยามเย็นเย็น ขี่ควายเล่น ชมท้องทุ่ง
หอมจรุง กลิ่นหน่อ กอข้าวเขียว
เจ้ากบเขียด ร้องทัก กันกราวเกรียว
หมู่วิหค ฉกเฉี่ยว เกาะเกี่ยวกัน
สายลมพัด พลิ้วโบก ไม้โยกเอน 
ลงจากทุย นั่งเล่น ริมทุ่งนั่น
หยิบขลุ่ยน้อย เป่าเป็นเพลง บรรเลงพลัน
ฝากถึงใคร คนนั้น จากดวงใจ
เสียงขลุ่ยคราง อยู่หว่าง กลางขุนเขา
โอ้เรียมเจ้า ยามนี้ อยู่ที่ไหน
เคยโลมเรียง เคียงเคล้า หยอกเย้าไป
กลางทุ่งนา ป่าไผ่ ไพรพฤกษ์พง
เคยพรอดพร่ำ จำนรรจา ภาษารัก
หมายสมัคร ฝากชีวี ที่ประสงค์
รักเราสอง ต้องอยู่ ยั้งยืนยง
ตราบชีพปลง ถึงพราก หรือจากกัน
แต่ไฉน เรียมคนดี เจ้าหนีจาก
ก็ไหนเคย บอกไม่พราก จากไอ้ขวัญ
โอ้อกเอ๋ย ช้ำฤดี ทุกวี่วัน
เรียมของขวัญ อยู่ไหน ไยไม่มา
ฝากเสียงขลุ่ย พริ้วแผ่ว ตามแนวข้าว
ส่งไปถึง เรียมเจ้า ดวงยี่หวา
ว่าไอ้ขวัญ ยึดมั่น คำสัญญา
แม้ผืนดิน กลบหน้า ข้าไม่ลืม
.......
เอ่อ แลน่าสมเพดเนาะเหียขวัญนี่ เนี่ยะ ดูฮิ

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันอังคาร (๒๗ กันยายน ๒๕๕๙)

สวัสดีวันอังคาร เธอรักฉันฉันรักเธอ
รักจริงด้วยนะเออ ฉันรักเธอเธอรักฉัน
รักเธอประเทศไทย ทั้งกายใจยืนหยัดมั่น
อาทิตย์จันทร์อังคาร และทุกวันฉันรักเธอ

อันศรพิษ ที่ฉีด ยาผสม
แม้ซานซม แต่ว่า รักษาหาย
แต่ศรรัก ที่ปัก อยู่กลางใจ
หมดหนทาง รักษาได้ หากไร้เธอ
......
ข้อความหลังภาพที่ใครคนหนึ่งเขียนไว้แต่ไม่กล้าส่งให้สาวเมื่อก่อนนู้นน เหอๆๆๆ

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันจันทร์ (๒๖ กันยายน ๒๕๕๙)

วันจันทร์สีอะไร ถามทำไมสีเหลืองฮิ่
วันจันทร์ดีไม่ดี แหมดีฮิ่ดีจังเลย
วันจันทร์รักฉันไหม อยู่ในใจไม่เฉลย
วันจันทร์วันคุ้นเคย อยากจะเอ่ย "รักวันจันทร์"

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : ตอน "ปัก ป.ร.ย." (๒๕ กันยายน ๒๕๕๙)

ช่วงใกล้โรงเรียนเปิดเทอมซึ่งปีนั้นฉันจะขึ้น ป.๓ ที่โรงเรียนวัดพังราดใกล้ๆ บ้านนี่แหละ เด็กๆ ส่วนใหญ่ต่างดีอกดีใจกันใหญ่เพราะจะได้เจอเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันนานช่วงปิดเทอม ได้เปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ ที่จำเจอยู่กับท้องไร่ท้องนาและบางคนก็ตื่นเต้นกับการที่จะได้ขึ้นชั้นใหม่ด้วย
วันนั้นแมะบอกว่าให้ฉันเอาชุดนักเรียนที่เพาะกับแมะซื้อมาให้ใหม่ไปปัก ป.ร.ย.ที่บ้านป้าเมาะซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๒-๓ วันกว่าจะได้เพราะเด็กคนอื่นก็เอาไปจ้างป้าเมาะแกปักด้วย คำว่า “ป.ร.ย.” นี้มีความหมายว่าเป็นโรงเรียนประชาบาลของจังหวัดระยองนั่นเอง โรงเรียนวัดพังราดใช้ ป.ร.ย.๖๔ ซึ่งเราคิดว่าคงจะเป็นโรงเรียนลำดับที่ ๖๔ ของจังหวัดที่ใช้แบบนี้มานานแล้ว เพาะกับแมะบอกว่าสมัยเป็นนักเรียนก็ใช้ ป.ร.ย.๖๔ เหมือนกัน
เย้ ดีใจจังโรงเรียนใกล้เปิดแล้ว เราจะได้เจอเพื่อนๆ พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที ที่สำคัญได้ใส่ชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมเอาไปอวดเพื่อนๆ คอยดูนะถ้าเพื่อนคนไหนใส่ชุดนักเรียนเก่าเราจะเย้า “ตัวเองยังชุดเก่าอยู่เลย สู้เค้าไม่ได้ เค้าชุดใหม่ ป.ร.ย.๖๔ ก็ปักใหม่ด้วย เค้าชนะ กิ๊วๆ”
ด.ช.สุพจน์ มัจฉา
พฤษภาคม ๒๕๑๒

สวัสดีวันอาทิตย์ (๒๕ กันยายน ๒๕๕๙)

สวัสดีวันอาทิตย์ ญาติสนิทมิตรสหาย
พี่น้องหมู่หญิงชาย ทั้งผู้ใหญ่ละอ่อนมี
สวัสดีทุกทุกท่าน ให้สุขสันต์และสุขศรี
พบพานแต่สิ่งดี ในวันนี้ทั่วกันเอย

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันเสาร์ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๙)

สวัสดีวันเสาร์ จากพะเยาถิ่นไทยงาม
ถึงเพื่อนในสยาม ทุกผู้นามและทุกคน
วันเสาร์จงสุขี ทุกแห่งที่และทุกหน
โชคดีไม่มีจน บุญกุศลดลบันดาน

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : ชุดลูกเสือราคาแพง (๒๓ กันยายน ๒๕๕๙)

ชุดลูกเสือที่เห็นนี่ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว เมื่อวันเสาร์ที่แล้วฉันไปซื้อที่ร้านโชคชัย ตลาดสามย่านกับแมะมาตั้ง ๕๒ บาท แมะอยากซื้อให้ ๒ ชุดแต่ฉันบอกแมะว่าชุดเดียวก็พอเพราะอาทิตย์หนึ่งใส่แค่ครั้งเดียวแล้วราคาก็แพงอย่างที่ว่าด้วย
เพื่อนๆ บางคนที่เขาพอมีกะตังค์เขาใช้วิธีตัดจากร้าน บางคนมีตั้ง ๒-๓ ชุด แต่สำหรับฉันแค่ชุดเดียวก็พอเหลือแหล่แล้ว ประหยัดกะตังค์ไว้ให้เพาะกะแมะเอาให้น้องดีกว่า น้องฉันยังมีอีกหลายคน

ฉันมันลูกชาวนาที่เพาะกะแมะก็แทบไม่มีรายได้อะไรนอกจากการทำนาปีละครั้งแต่ก็ยังอดทนสู้ส่งเสียให้ลูกเรียนอย่างไม่เห็นกะเหน็ดกะเหนื่อย เพราะฉะนั้นฉันก็จะต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีที่สุดเพื่อเพาะกะแมะฉันและฉันจะทะนุถนอมชุดลูกเสือราคาแพงนี้ไว้ให้ดีและนานที่สุด
ด.ช.สุพจน์ มัจฉา
ชั้น ป.๕ โรงเรียนวัดเกาะลอย (ฟอกประชานุเคราะห์) ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
๒๓ กันยายน ๒๕๑๔
(ภาพประกอบวันนี้เป็นภาพเพื่อนๆ นักเรียนชั้นประถมปลายโรงเรียนวัดเกาะลอยรุ่นเดียวกับผมครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

วันนี้ในอนาคต : ๒๒ กันยายน ๒๖๔๓ (๒๒ กันยายน ๒๕๕๙)

วันนี้ฉันตื่นนอนแต่ตี ๔ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วสวดมนต์หน้าพระพุทธรูปในบ้านราวครึ่งชั่วโมงจากนั้นเดินไปนั่งรับลมเย็นๆ หน้าบ้านซึ่งพัดมาเอื่อยๆ สบายๆ ต่อมาราว ๖ โมงเศษ "เจ้าแอ๊ด" อายุ ๕๑ ปีเหลนฉันกะ "เจ้าอ๊อด" ลูกมันที่มีอายุได้ ๒๖ ปีซึ่งกระเตง "เจ้าอี๊ด" ลูกชายวัย ๒ ขวบมาด้วยเอาน้ำระกำร้อนๆ ซึ่งลูกสาวฉันที่อายุ ๑๐๓ ปีกับ "นังแอ๊ว" ลูกสาวเธออายุ ๗๗ ปีช่วยกันต้มเอามาให้ดื่ม ๑ ถ้วยใหญ่ แหม สดชื่นใจจัง
"คนแก่ก็งี้แหละ ง่ายๆ สบายๆ แม้วันนี้ฉันจะอายุ ๑๔๐ ปีแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงดี ลูกหลานเหลนลื่อก็ยังอยู่ครบทุกคน"
๒๒ กันยายน ๒๖๔๓

ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : สมุดหัวละสลึง (๒๒ กันยายน ๒๕๕๙)

ช่วงเรียนชั้น ป.๑ ที่โรงเรียนวัดพังราด (เพิ่มราษฎร์รังสรรค์) เมื่อปี ๒๕๑๐ โดยครูจอง ทองก้อน ครูใหญ่เป็นครูประจำชั้นนั้นช่วงแรกๆ ผมทันได้ใช้กระดานชนวนราวเดือนสองเดือน ต่อมาก็หันมาใช้สมุดแทนโดยสมุดที่ใช้ตอนนั้นมีลักษณะแบบภาพประกอบนี้นี่แหละครับราคาหัวละ ๑ สลึง (คนร่ะยองเราเมื่อก่อนจะเรียกลักษณะนามของสมุดและหนังสือว่า"หัว" แต่เด็กรุ่นหลังๆ ส่วนใหญ่จะใช้คำว่า"เล่ม"แทนกันเกือบหมดแล้ว)

ที่ที่จะซื้อสมุด ดินสอ เครื่องเขียนมีอยู่ที่เดียวคือร้านของ "ป้าเมาะ" ซึ่งอยู่ติดตัวโรงเรียน สมุดหัวละ ๑ สลึงแต่ถ้าซื้อทุก ๔ หัวป้าเมาะจะแถมให้ ๑ หัว ครูจองก็เลยบอกพวกเราไว้ว่าถ้าซื้อหลายๆ หัวให้เด็กๆ เอาเงินมารวมกันและครูจะมอบหมายให้ผมซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นเป็นคนไปซื้อมาให้สำหรับส่วนเกินที่ป้าเมาะแถมจะใช้วิธีจับฉลากใครดวงดีจับได้ก็ให้คนนั้นไป


จำได้ว่าวันแรกเลยที่ผมไปซื้อสมุดที่ร้านป้าเมาะนั้นหลังจากเอาสมุดให้เพื่อนแล้วผมดวงดีจับได้สมุดอีก ๑ หัวรวมเป็นวันนั้นผมใช้สตางค์ไป ๑ สลึงแต่ได้สมุดถึง ๒ หัว อ้ะอ๊า เอาได้ๆ เหอๆๆๆ

สวัสดีวันพฤหัสบดี (๒๒ กันยายน ๒๕๕๙)

สวัสดีเพื่อนที่รัก มาทายทักวันนี้จ้า
พฤหัสก้าวเข้ามา ด้วยยิ้มร่าจนหน้าบาน
สวัสดีเพื่อนที่รัก ให้คึกคักสนุกสนาน
เทวาฟ้าประทาน แด่ทุกท่านสราญรมย์

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

ไม้ขัดหม้อ : ไม้วิเศษ,ไม้ปราบเด็กดื้อ (๒๑ กันยายน ๒๕๕๙)

แมะ : แมะบอกขี่ครั่งขี่หนแล่วว่าไม่ให้ค่บก๊ะไอ้นี้ดลูกทิ่ดมนก็ยังไม่ฟัง นี่เถ้าขืนมึงลองไปค่บก๊ะมันอีกครั่งก็ แมะจ้ะฟาดด้วยม่ายขัดหม้อซะให้หลังลายเลย คอยดูฮิ่ 
.......
ครัวเรือนคนบ้านเราสมัยก่อนนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องมี “ไม่มีไม่ได้” อย่างหนึ่งก็คือ “ไม้ขัดหม้อ” ครับ สมัยนั้นไฟฟ้งไฟฟ้าไม่มี การหุงหาอาหารก็หุงจากถ่านบนเตากะโล่ที่วางไว้บนบล็อกสี่เหลี่ยมซึ่งมีดินเหนียวบดแน่นอยู่ พอข้าวสุกดีแล้วก็เอาไป “ดง” เพื่อเทน้ำออกและเตรียมไว้ให้เจ้าบ๊อกใต้ถุนบ้านกิน (แต่บางคนก็กินเองด้วย แบบว่ามันเหนียว ข้นและอร่อย ยิ่งถ้าเหยาะน้ำตาลกะเกลือลงไปอีกนิดหน่อยแล้วล่ะก็แซบอย่าบอกใครเชียว) การเทน้ำข้าวที่หุงก็ต้องปิด “ฝา-ร่ะ-มี” (ฝาหม้อ) ก่อนพร้อมเอาไม้ขัดหม้อขัดไว้ไม่ให้ฝา-ร่ะ-มีหลุดและเม็ดข้าวในหม้อไหลออกมาได้ คะเนว่าน้ำข้าวในหม้อหมดแล้วถึงค่อยเอาไปอุ่นบนเตาอีกทีจนระอุดีจึงยกออกมา

แม้ต่อมาภายหลังบ้านเรือนส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้าในการหุงหาอาหารกันแล้วก็ตามแต่ไม้ขัดหม้อก็ยังมีความจำเป็นอยู่เพราะบางทีต้องต้มกุ้งมั่ง ต้มผักมั่ง อะไรต่อมิอะไรมั่ง เมื่อต้มเสร็จแล้วตอนจะเทน้ำต้มทิ้งก็ใช้ไม้ขัดหม้ออีกนั่นแหละทำแบบการหุงข้าว

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของไม้ขัดหม้อก็นี่เลยใช้เป็น "ไม้วิเศษ" สำหรับตีตูดเด็กดื้อครับ เด็กที่พ่อแม่ว่าอะไร พูดอะไร สอนอะไรไม่ค่อยจะฟัง ไม่ค่อยจะจำน่ะพอได้ยินคำว่า “เดี๋ยเหอะ เพาะจ้ะเอาม่ายขัดหม้อฟาดซ้าให้หลังลายเชีย” รับรองกลัวลานหัวหดกันเป็นแถวๆ เด็กบางคนนะจากที่เคยเกเร ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ว่าอะไรก็ไม่ยอมพอโดน “ไม้ขัดหม้อ” เข้าซักทีสองทีกลับกลายเป็นอีกคนไปเลยก็มี แหม่ "วิเศษจริงๆ" ไม้ขัดหม้อนี่ พี่น่องว่าแม้
.......
เอ้า พี่น่องคนไหนตอนเด็กๆ เคยถูกเพาะถูกแมะฟาดด้วยม่ายขัดหม้อมั่งรั่บสาร่ะภาพออกมาซ้าดีๆ เหอๆๆๆๆ

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

ศัพท์เสียงสำเนียงระยองเพื่อพี่น้องไทย : หางกะต้อย (๒๐ กันยายน ๒๕๕๙)

น้องแช่ม : เอ่อ น้องแจ๋นๆ แกลองดูเหียอู๊ดฮิ แหม่ พอไปอยู่กรุงเทพได้หน่อย ตอนกลับพังราดบ้านเราทำเป็นปล่อยหางกะต้อยซ้ายาวเชีย 
น้องแจ๋น : แต่แช้นว่าเหียอู๊ดก็แลน่ารั่กดีเกี๊ย น่ะ ดูฮิ เอาได้ๆ
....... 
"
หางกะต้อย” ศัพท์เสียงสำเนียงร่ะยอง (ออกเสียงเป็น “หาง-ก้ะ-ต้อย) หมายถึงปอยผมที่อยู่บริเวณท้ายทอยซึ่งก็คือ “หางเต่า” ในภาษากลางนั่นเองครับพี่น้อง

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

ศัพท์เสียงสำเนียงร่ะยองเพื่อพี่น้องไทย : หัวปี,ทีหัวปี (๑๙ กันยายน ๒๕๕๙)

“นี่ทิ่ดนี้ด พวกแช้นถามแกหน่อยเหอะ ทีหัวปีทำไมแกไม่บอกว่าที่ชวนไปบ้านตาโผเหมื่อคืนน่ะแกจะไปขโมยไก่เขา เนี่ยะ เลยทำให้พวกแช้นพลอยติดร่างแหถูกลุงดาบอู๊ดจับเข้าคุ่กด้วย” ทิ่ดดำ,ทิ่ดน่อย,ทิ่ดหมึกบ่นทิ่ดนี้ดซะขโมงโฉงเฉงในห้องขังหลังจากถูกตำรวจจับเนื่องจากไปขโมยไก่บ้านตาโผเมื่อคืนที่ผ่านมา

ทีหัวปี” หรือ “หัวปี” ศัพท์เสียงสำเนียงร่ะยองหมายถึง “ทีแรก”,”ตอนแรก”,”ครั้งแรก”ประมาณนี้ครับพี่น้อง

สวัสดีวันจันทร์ (๑๙ กันยายน ๒๕๕๙)

สวัสดีวันจันทร์จ้า 
มาแล้วหนาเพื่อนน้องพี่
ความสุขสวัสดี
ขอจงมีแด่ทุกคน

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันอาทิตย์ (๑๘ กันยายน ๒๕๕๙)

วันอาทิตย์ หน้าทะเล้น หน้าเป็นได้
วันอาทิตย์ จะบ้าใบ้ ไม่ได้นะ
วันอาทิตย์ จิตแจ่มใส ใช่ไหมล่ะ
วันอาทิตย์ มาแล้วจ้ะ สวัสดี


ฝนฟ้าครึ้มมาแต่เช้าเลยวันนี้และพอตอนสายๆ หน่อยฝนก็ตกลงมาพร้อมเสียงฟ้าฟาดเป็นระยะๆ


วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันเสาร์ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๙)

สวัสดี วันนี้วันเสาร์ 
กระปรี้กระเปร่า ไม่เหงาไม่หงอย
สวัสดี วันนี้ที่คอย 
เบิกบานไม่น้อย ใจพลอยสราญ
สวัสดี พี่น้องหญิงชาย 
มวลมิตรสหาย ขอให้สุขสันต์
สวัสดี เสาร์นี้ทั่วกัน 
สิ่งที่คิดฝีน ให้พลันเป็นจริง

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันศุกร์ (๑๖ กันยายน ๒๕๕๙)

วันศุกร์ สุขสันต์ หรรษา
ยิ้มรื่น เริงร่า หน้าใส
วันศุกร์ แสนดี กระไร
สุขกาย สุขใจ ไร้ตรม

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

พระตีกลอง (๑๕ กันยายน ๒๕๕๙)

เวลาตี ๑๑ (๑๑ นาฬิกา) : ตุ้ม...ตุ้มๆๆๆๆๆๆๆ...ตุ้ม
แมะ : เอ่อเพาะมึง พร่ะตีกลองเพลแล่ว ปลดควายออกจากแอกก่อนเหอะแล่วมานั่งซักพั่กก่อน เดี๋ยวพร่ะฉันหัน (ฉันจังหัน) เสร็จแล่วมากินข้าวกลางวันกัน
.......
เวลาใกล้ๆ หกโมงเย็น : ต้ะล่ะลุ่มตุ้ม โม้งโม้งโม้ง ต้ะล่ะลุ่มตุ้ม โม้งโม้งโม้ง
เพาะ : เอ้าแมะมึง เด็กๆ ด้วย พร่ะตีกลองค่ำจ้ะทำวั่ด (ทำวัตร) เย็นแล่ว ป้ะ กลับบ้านไปพั่กผ่อนกันเหอะ พรุ่งนี่ถึงค่อยมาดำนากันใหม่


เวลาตีแปดตอนกลางคืน (๒ ทุ่ม) : ตุ้ม...ตุ้มๆๆๆๆๆๆๆ...ตุ้ม
แมะ : เอ่อนี่เพาะมึง พร่ะตีกลองเวลานี่น่ะสงสัยมีอะไรไม่ดีแน่ๆ ป้ะ เราเดินไปดูที่วั่ดกันหน่อยฮิ
.......
“กลอง” อุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่สมัยก่อน (รวมถึงสมัยนี้ด้วยแต่ไม่ค่อยได้ใช้กันนัก) ทุกวัดจะต้องมีเพื่อตีเป็นสัญญาณบอกเหตุการณ์ บอกเรื่องราวต่างๆ ให้รับรู้รับทราบกัน เนื่องจากสมัยก่อนนั้นการติดต่อสื่อสารไม่ทันสมัยเหมือนเดี๋ยวนี้ จะแจ้งหรือทำอะไรก็อาศัยกลองที่ว่านี้นี่แหละเป็นตัวบอกให้รู้

สมัยผมเป็นเด็กอยู่ที่บ้านพังราดไทย หมู่ ๔ ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดร่ะยองนั้นส่วนใหญ่จะได้ยินการตีกลองดังมาจากวัดพังราดใน ๒ เรื่องแรกคือ “กลองเพล” เวลา ๑๑ นาฬิกา และ “กลองค่ำ” เวลาเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเข้าพรรษาแบบนี้จะได้ยินทุกวัน คนบ้านเราก็จะอาศัยเวลาที่พระตีกลองนี่แหละทำหรือเลิกทำงานเพราะใกล้หรือถึงเวลาเริ่มหรือเลิกทำงานประจำวันแล้ว การตีนั้นพระองค์ที่เก่งๆ น่ะเวลาตีคนฟังอาจถึงขนาดเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงที่ได้ยินได้ฟังด้วยเลยทีเดียว
ส่วนการตีแบบที่ ๓ นั้นแทบไม่มีใครอยากได้ยินหรือให้มีเกิดขึ้นเพราะเป็นการตีบอกเหตุร้าย เหตุไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะตียามวิกาล โดยสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นเคยได้ยิน ๔-๕ ครั้งและทุกครั้งก็จะเรื่องมีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตแล้วเอาศพไปไว้วัด เมื่อศพถึงวัดแล้วพระท่านก็จะตีกลองบอกให้ชาวบ้านรับรู้กันจะได้ไปช่วย
หันกลับมาดูสมัยนี้การตีกลองประเภทที่ว่านี้แม้จะยังหลงเหลืออยู่บ้างแต่ก็มีน้อยวัดที่จะทำหรืออนุรักษ์ไว้จนกระทั่งพระเณรแทบจะไม่มีองค์ไหนตีกลองเป็นกันแล้ว อาจจะคิดว่าหมดความจำเป็นก็ได้เพราะการติดต่อสื่อสารหรือการดูเวล่ำเวลาสมัยนี้ทันสมัยกว่าสมัยก่อนก็เลยค่อยๆ หายไปหมดไปอย่างน่าเสียดาย (ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

สวัสดีวันพฤหัส (๑๕ กันยายน ๒๕๕๙)

พฤหัส โบราณ ท่านห้ามถอน
เมาแล้วนอน อย่างนั้น จนมันสร่าง
ถ้าถอนแล้ว ไม่แคล้ว ต้องวายวาง
ท่านจึงสอน จึงสั่ง ห้ามถอนแล
........
เหอๆๆๆ วันพฤหัส "ห้ามถอน"
สวัสดีจ้าาาาทุกคน

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

ศัพท์เสียงสำเนียงร่ะยองเพื่อพี่น้องไทย : กะจบ , ดินสอตู้ (๑๔ กันยายน ๒๕๕๙)

ด.ญ.ชงโค : เอ่อนี่ชบา เดี๋ยวแช้นว่าจะกะจบกบเหลาดินสอซ้าหน่อยได้แม้ ดินสอแช้นมันตู้แล่ว
ด.ญ.ชบา : ได้ฮิ่
.......
"
กะจบ" หมายถึง "ยืม,ขอยืม" ส่วนคำว่า "ตู้" หรือดินสอตู้หมายถึงดินสอที่ไส้มันทู่ใช้เขียนต่อไปไม่ได้แล้วนั่นแหละครับพี่น้อง

บ้านเราไม่มีรั้ว (๑๔ กันยายน ๒๕๖๙)

สภาพบ้านเรือนคนบ้านเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบชนบทนั้นจะเห็นว่าตั้งอยู่ใกล้ๆ กันซึ่งบ้านแต่ละหลังล้วนเป็นญาติหรือพี่น้องกันทั้งนั้น แม้จะไม่ใช่ญาติเกี่ยวดองทางสายโลหิตแต่ทุกคนก็นับถือกันเป็นญาติเรียก “พ่อแม่ พ่อแก่แม่คุณ ปู่ย่า ป้า ลุง ฯลฯ” เสมือนญาติแท้ๆ โดยแต่ละคนจะหมั่นคอยดูแล เป็นหูเป็นตาให้กันและกันยามที่อีกบ้านหนึ่งไม่มีคนอยู่หรือเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยความเอื้ออาทร
จากสิ่งนี้นี่เองบ้านส่วนใหญ่ทางบ้านเราจึงไม่จำเป็นต้องมี “รั้วบ้าน” หรือสร้างรั้วให้ยุ่งยากเสียเวลาเสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุเพราะทุกคนคือ “รั้วบ้าน” ชั้นดีที่จะป้องกันขโมยขโจรหรือภัยอันตรายที่จะมาให้แก่กันตลอดเวลา
ภาพประกอบวันนี้คือบ้านแมะเผือน มัจฉา ที่พังราดไทย หมู่ ๔ ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดร่ะยองซึ่งจะเห็นว่ารอบๆ ด้านนั้นโล่งสุดลูกหูลูกตาแต่เต็มไปด้วย “รั้วญาติ” ซึ่งสร้างไว้ด้วยความผูกพันโดยไม่จำเป็นต้องมี "รั้วบ้าน" ให้ยุ่งยาก

สวัสดีวันพุธ (๑๔ กันยายน ๒๕๕๙)

วันอะไร สดใส ใครก็รัก
วันอะไร คึกคัก พักตร์ผ่องศรี
วันอะไร มองทางไหน เขียวขจี
อ๋อวันนี้ สวยสุด วันพุธไง (เย้ ใช่แล้วจ้า)

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

ไปพบหมอตามนัด (๑๔ กันยายน ๒๕๕๙)

วันนี้ช่วงเย็นผมเดินทางไปพบหมอที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ตามที่นัดไว้ จากการตรวจร่างกายหมอบอกว่าดีขึ้นมากเลยทีเดียว แต่อาการที่เป็นนั้นจะต้องทานยาต่อเนื่องอีกระยะหนึ่งซึ่งวันนี้หมอให้ยามาอย่างที่เห็นข้างล่างนี่แหละครับ ๕๕๕

น้องคำหล้า : สุมาเต๊อะเจ๊าอ้ายอู๊ด อ้ายอู๊ดไปจ่ายกาดมาก๊ะเจ้า
อ้ายอู๊ด : ไม่ฉ่า (ไม่ใช่หรอก) น่องคำหล้า หมอให้ยาเหียอู๊ดมากินเกี๊ย เนี่ยะ ดูฮิ เบิกบานหมด
น้องคำหล้า : เหอๆๆๆๆ เอาได้ๆ


พรุ่งนี้ประชุม ณ ห้องประชุม (ที่เดิม) (๑๓ กันยายน ๒๕๕๙)

ไลน์โรงพักแม่จริมบอกว่าพรุ่งนี้ประชุมเวลา 13.30 น.โดยระบุตอนหนึ่งว่า "...ณ ห้องประชุม (ที่เดิม)" เฮ้อ ป่านนี้ตำรวจที่นั่นคงถามไถ่กันจ้าละหวั่นแน่ๆ ว่าครั้งที่แล้วตัวเองนั่งตรงไหนจะได้นั่ง "ที่เดิม" ได้ถูกต้อง ไม่เป็นไรเรามีภาพถ่ายเก่าเก็บไว้เลยส่งไปให้เขาดู เนี่ยะ ดูฮิ เอาได้ๆ เหอๆๆๆ


ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : ตอน “อ่างล้างตีน”

“อ่างล้างตีน” หรือ “อ่างล้างเท้า” นี้บ้านเราสมัยก่อนถือว่าเป็นของสำคัญที่ทุกบ้านจะต้องมี ไม่มีไม่ได้ เพราะสมัยนั้นการไปไหนมาไหนส่วนมากจะเดินเท้าเปล่า รองเท้าน่ะไม่มีกันหรอกถึงมีก็ใส่ลำบาก กลางท้องทุ่งนาเต็มไปด้วย “กะหลุก” (หลุมบ่อเล็กๆ) และโคลนตมทั้งนั้นใส่ไม่ได้แน่ๆ เท้าแต่ละคนที่เดินออกจากบ้านไปน่ะ “เล่อะม่อกแม่ก” ด้วยดินด้วยโคลนด้วยอะไรต่อมิอะไรทั้งนั้น ทีนี้เวลาจะขึ้นบ้านก็ต้องล้างต้องทำความสะอาดให้ดีก่อน


 การล้างนั้นครั้นจะไปตักน้ำจากบ่อมารึก็เสียเวลาโดยใช่เหตุ คนสมัยก่อนจึงทำ “อ่างล้างตีน” ไว้หน้าบ้านซะเลย เวลาล้างก็ใช้เท้าที่เลอะๆ “จุ้ม” หรือจุ่มลงไปให้สะอาดดีแล้วจึงเช็ดด้วยผ้าหรือกระสอบข้าวที่ทำเป็นที่เช็ดเท้าซึ่งอยู่ใกล้ๆ ให้แห้งแล้วถึงค่อยขึ้นเรือนซึ่งผิดกับสมัยนี้ที่สภาพบ้านเราไม่เหมือนแต่ก่อน ถนนหนทาง การสัญจรไปมาสะดวกสบายไม่มีอะไรติดเท้า อีกอย่างคนส่วนใหญ่ก็ใส่รองเท้ากันแล้วไม่ได้เดินตีนเปล่าแบบสมัยนั้นทำให้บ้านส่วนใหญ่ไม่มี “อ่างล้างตีน” อีกต่อไป

ภาพประกอบนี้เป็น"อ่างล้างตีน" บ้านแมะเผือน มัจฉาที่บ้านพังราดไทย หมู่ ๔ ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดร่ะยองครับโดยอ่างนี้ผมก็เคยใช้มาแต่เด็กๆ ด้วย แมะบอกว่าถึงแม้ว่าสมัยนี้แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรแต่แมะก็อนุรักษ์ไว้ให้ลูกๆ หลานๆ รุ่นหลังได้ดูได้รู้จักกันว่าสมัยหนึ่งบ้านเราเคยเป็นแบบนี้ แหม่ แมะนี่เอาได้จริงๆ เกี๊ย

เอ้า พี่น่องบ้านเราบ้านไหนที่ตอนนี่ยังมี “อ่างล่างตีน” เหลืออยู่ที่บ้านมั่งย่กมือบอกหน่อยฮิ
ภาพนี้จะเห็นว่าเด็กนักเรียนรุ่นผมสมัยนั้นไม่มีการใส่รองเท้ากันหรอก (คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน)

สวัสดีวันอังคาร (๑๓ กันยายน ๒๕๕๙)

พ้นวันศุกร์ สนานสนุก ด้วยวันเสาร์
จากนั้นเล่า สุขสันต์ วันอาทิตย์
แล้ววันจันทร์ เสนอหน้า มาตามติด
ต่อจากนั้น ช่วยกันคิด วันอะไร
........
เอ๊ วันอะไรน้อ... อ๋อ วันอังคาร เย้

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันจันทร์ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙)

วันจันทร์ สีแดง แรงฤทธิ์
โทษจ้า จำผิด สีเหลือง
วันจันทร์ เงินทอง นองเนือง 
ผู้คน ทั้งเมือง ไชโย
........
ไชโย ไชโย ไชโย เย้ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : ตอน "ขัดขี้ไคล" (๑๑ กันยายน ๒๕๕๙)

เด็กๆ ที่อยู่ตามท้องไร่ท้องนาสมัยก่อนเช่นเดียวกับผมนั้นเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวดูแลร่างกายน่ะไม่ค่อยจะพิถีพิถันกันนักหรอก เรียกว่าอยู่กันตามมีตามเกิด สบายๆ ไม่เดือดร้อนอะไรแม้ว่าตอนไปไหนมาไหนส่วนใหญ่จะต้องย่ำท้องทุ่งท้องนาที่เต็มไปด้วยโคลนด้วยตม บางทีก็ไปช่วยคนโต (ผู้ใหญ่) เขาไถนาดำนาก็ตามที
การย่ำท้องทุ่งท้องนา ช่วยคนโตไถนาดำนาเนี่ยะแน่นอนจะต้องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปตามๆ กันแต่ก็เป็นอะไรที่สนุก บางคนงี้กระโดดลงไปในนาที่เต็มไปด้วยน้ำเล่นเสียด้วยซ้ำ สภาพแบบนี้เป็นไปวันแล้ววันเล่า พอเลิกงานหรือเล่นเสร็จก็อาบน้ำอาบท่าที่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำในบ่อที่ช่อหรือตักขึ้นมาซึ่งสภาพมักจะออกขุ่นๆ ไม่ใสแจ๋วเหมือนตาตั๊กแตนเช่นน้ำประปาสมัยนี้ หรือไม่บางทีก็อาบน้ำในนาที่มันใสๆ หน่อยนั่นแหละ ถูเนื้อถูตัวให้ดูว่ามันสะอาดก็เป็นอันเสร็จพิธี
แต่ก็อย่างว่าแหละสภาพแบบนี้สิ่งที่ติดตัวมาโดยพวกเราก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกันนักก็คือ “ขี้ไคล” ซึ่งส่วนใหญ่จะติดแถวๆ ร่างกายที่เป็นข้อพับ,ซอกหู,ต้นคอ การมีขี้ไคลติดแบบนี้น่ะตอนอยู่บ้านก็ไม่เท่าไรหรอกเพราะใครๆ ก็เป็นกัน แต่ตอนนี้ซิ่สำคัญ “โรงเรียนใกล้เปิดเทอม” จะต้องขัดสีฉวีวรรณให้เรี่ยมเร้เรไรซะหน่อย

การขัดขี้ไคลของเด็กบ้านเราสมัยนั้นพ่อแม่บางคนใช้เปลือกมะพร้าวขัด แต่แบบนี้ต้องค่อยๆ ขัดค่อยๆ ถู ดีไม่มีหนังถก (ถลอก) เอาได้ แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลชะงัดและพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะใช้นั่นก็คือใช้เศษ “ผ้าผวย” (ผ้าห่ม) เก่าๆ ชุบกับ “น้ำมันแก๊บ” (น้ำมันก๊าด) ครับ หลังจากเอาผ้าผวยชุบน้ำแก๊บเรียบร้อยแล้วก็เอามาขัดๆ ถูๆ ตรงที่ขี้ไคลจับ ถูไปถูมาเบาๆ ไม่ต้องแรงแป๊บเดียวขี้ไคลหลุดออกมาหมด เด็กบางคนงี้ตัวจาก “ดำเป็นเหนี่ยง” กลายเป็น “ขาวจั๊วะ” ไปเลยรวมทั้งน้ำหนักตัวก็ลดลงไปเป็นกิโลอีกด้วยแน่ะ ซึ่งเท่าที่จำได้มี ด.ช.สุพจน์ มัจฉา อยู่ด้วยคนหนึ่ง ๕๕๕๕
“เอ้า พี่น่องคนไหนตอนเด็กๆ น่ะเคย “ขัดขี้ไคล” ด้วย “ผ้าผวยก๊ะน่ามมันแก้บมั่ง ย่กมือขึ้นหน่อยฮิ”

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

สวัสดีวันเสาร์ (๑๐ กันยายน ๒๕๕๙)

สบายสบาย ง่ายง่ายวันเสาร์
บางบางเบาเบา วันเสาร์สนุก
นั่งนั่งนอนนอน เดินเดินลุกลุก
สะนุกสนุก ทุกชั่วโมงยาม (เย้)

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

แด่เพาะเหียน มัจฉา (๙ กันยายน ๒๕๕๙)


วันที่๙ เดือน๙ ปี๙๙
เพาะจากเรา อย่างไม่ มีวันกลับ
สิบเจ็ดปี ผ่านพ้น ที่ล่วงลับ
มิอาจดับ ความรัก ความผูกพัน 
...........
วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒ (ค.ศ.๑๙๙๙) เพาะเหียน มัจฉา ได้ละโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง ๖๓ ปีท่ามกลางความอาลัยรักของแมะ,ลูก,หลานและญาติสนิทมิตรสหาย ซึ่งนับถึงวันนี้ก็ครบ ๑๖ ปีเต็มแล้ว ขอดวงวิญญาณของเพาะจงสถิตอยู่สัมปรายภพตลอดไปด้วยเทอญ
บางช่วงบางตอนกับงานฌาปนกิจศพเพาะเหียน มัจฉา ที่วัดพังราดไทย หมู่ ๔ ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดร่ะยองเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๒ (ภาพทั้งหมดคลิกที่นี่นะครับ)

แมะเผือน มัจฉา กับลูกๆ ทั้ง ๗ คนหน้าหีบศพเพาะเหียนมัจฉา
ตอนนั้น "นางสาวไทย" เพิ่งจะอายุ ๕ ขวบ