วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
สวัสดีเมืองพาน (๒๓ กันยายน ๒๕๕๔)
วันนี้เป็นวันแรกที่มาทำงานที่ สภ.พานหลังจากไปช่วยปฏิบัติราชการที่ สภ.เวียงป่าเป้าเสีย ๓ เดือน สภาพทั่วไปของโรงพักเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะตัวอาคารสถานที่ซึ่งปรับปรุงทาสีและจัดระเบียบใหม่จากความเมตตาของท่านพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ เจ้าอาวาสวัดใหม่ศรีร่มเย็น ตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
ผมไปถึงโรงพักก่อนเวลา ๐๗.๓๐ น. เมื่อไปถึงก็ไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ที่พวกเราให้ความเคารพแล้วลงบันทึกประจำวันการเดินทางไว้เป็นหลักฐานตามระเบียบจากนั้นเข้าไปในห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้น ๓ ที่ปิดไว้ตลอด ๓ เดือน แต่ดีหน่อยเนื่องจากเมื่อวานป้าจันทร์ทิพย์หรือป้าติ๊บที่พวกเราเรียกกันติดปากแม่บ้านโรงพักปัดกวาดเช็ดถูให้ซะสะอาดเอี่ยมอ่อง นั่งในห้องได้ราว ๕-๖ นาทีก็เดินทางไปพบคณะกรรมการสอบสวนคดีวินัยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผมต้องให้ปากคำในฐานะพยานที่ สภ.แม่สรวย ใช้เวลาถึงเกือบเที่ยงวันก็เสร็จ เมื่อเสร็จแล้วเดินทางกลับโรงพัก
วันนี้ยังไม่มีงานอะไรใหม่ๆ เลยใช้เวลานั้นทักทายเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไม่ได้เจอกันถึง ๓ เดือนเต็มๆ ได้รับรู้รับทราบความเคลื่อนไหวช่วงไม่อยู่พอสมควร ทักทายเสร็จก็ใช้เวลาว่างๆ ที่ไม่มีอะไรทำปรับปรุงเว็บไซต์โรงพักอีกนิดหน่อยแล้วกลับเข้าห้องทำงานนั่งทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมารวมถึงแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ที่จะทำต่อไปโดยนำเรื่องราวในคำสั่งที่ต้องถูกส่งไปปฏิบัติราชการที่เวียงป่าเป้าและความรู้ที่ได้รับในการปฏิบัติธรรมจากท่านพระอาจารย์เอกชัยฯ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ มาเป็นแนวทาง
ฝากบอกพ่อแม่พี่น้องอำเภอพานที่รักทุกคนด้วยว่าสุพจน์มัจฉาคนเดิมกลับมารับใช้ท่านแล้ว ที่หายไปนั้นไม่ใช่หนีจากแต่จำใจต้องจากไปด้วยหน้าที่ที่มิอาจปฏิเสธได้ แล้วพบกันนะครับ
ปิดท้ายวันนี้ด้วยธรรมะจากท่านพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ
จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ
ถ้าคิดดี พูดดี กระทำดี ยังไงผลก็ออกมาดี แต่ถ้าคิดไม่ดี แม้แต่เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ใจที่ตั้งเอาไว้ผิดนั้นอาจเ็ป็นเครื่องสร้างความทุกข์ให้กับคนๆ นั้นชนิดแบนชิดติดต่อยาวนานข้ามภพชาติทุกชาติได้ ในสิ่งเดียวกัน คนแต่ละคนยังให้ความคิดเห็นไม่เหมือนกัน บ้างก็ชอบ บ้างก็เกลียดหรือไม่ก็เฉยๆ เหตุนั่นก็เพราะความคิดพอกระทบที่ตาแล้วส่งไปที่ใจ ขณะนั้นขบวนการปรุงแต่งทางจิตได้เริ่มทำงานขึ้นอีกครั้งแล้ว ส่วนจะเป็นในแง่ที่ดีหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับข้างในของแต่ละคนว่าจะมีสติระลึกได้ถึงสิ่งที่ควรมากน้อยเพียงใด เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมเราถึงยังมัวเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอีก สู้พยายามใช้เวลาของชีวิตที่เหลือให้มีความสุขจะไม่ดีกว่าหรือ อะไรที่ยึดเอาไว้แม้แต่ความสูขนั้นก็เป็นความทุกข์ที่แอบแฝงตัวเข้ามาแล้ว เพราะหากเราไปยึดอารมณ์นั้นไว้ เมื่อหวลคิดคำนึงแล้วนำมาเปรียบเทียบ มันก็อาจจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเราได้ตลอดเวลา
สวัสดีเมืองพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น