วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตำรวจเพิ่มกำลังควบคุมฝูงชน ! : โลกตำรวจ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข (๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖)

คนไทยส่วนหนึ่งกำลังหลงลืมไปว่าความทุกข์ในยามนี้มิใช่มีเพียงแค่ปัญหาอันเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง ความคิดเห็นที่แตกต่างที่มีต่อประเด็นทางการเมือง! ถึงแม้ว่าเราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าประเด็นทางการเมืองเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากและควรมีการปรับปรุงพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่ปัญหาอาชญากรรมประเภทต่างๆ ที่สูงมากขึ้นในห้วงเวลานี้คือความทุกข์ในชีวิตประจำวันที่กำลังถูกมองข้ามไป

เชื่อมั่นว่าคนไทยทุกคนอยากเห็นนักการเมืองไทยเป็นกลุ่มบุคคลที่มีคุณภาพมากเพียงพอที่จะทำหน้าที่บริหารประเทศ มีภาวะผู้นำที่เหมาะสมที่จะนำพาและกำหนดทิศทาง นโยบายแก่ผู้บริหารองค์การต่างๆ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถพัฒนาไปได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง ประชาชนในชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีศักยภาพที่ดี

การพยายามปฏิรูปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการเมือง นโยบาย หรือการบริหารจัดการต่างๆ ในทุกระดับทุกโครงสร้างทุกส่วนของสังคมหรือที่เรียกว่าทบทวนเปลี่ยนรื้อทั้งองคาพยพเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเและเป็นสิ่งที่ควรทำ และจำเป็นต้องทำอย่างมีสติใช้ปัญญาที่แยบยลเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ เกิดผลลัพธ์ในทางที่ดีขึ้นมิใช่ย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังเข้าคลอง

ไม่มีใครอยากเห็นคนไทยด้วยกันใช้วิธีการแสดงออกซึ่งความคิดที่แตกต่างผ่านการชุมนุมประท้วงในรูปแบบของการใช้กำลังต่อสู้ การแสดงความก้าวร้าวใช้ความรุนแรงต่อกันในรูปแบบต่างๆ...เราจะทำอย่างไรจึงจะก้าวพ้นภาวะเช่นนี้ ?

ลองทบทวนนึกภาพเหล่านี้...สถานีตำรวจแต่ละแห่งซึ่งปกติก็ขาดแคลนกำลังพลที่จะให้บริการโดยมีเป้าหมายบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชนอยู่แล้วนั้น ในยามนี้มีสถานีตำรวจจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะในต่างจังหวัดเหลือกำลังพลเพียงแค่หัวหน้าสถานีกับตำรวจแก่ๆ เพียง 2 นาย ส่วนสถานีตำรวจที่มีกำลังพลมากหน่อยจำเป็นต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผลัดกันไปทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนและเมื่อทำหน้าที่เสร็จก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ตามปกติไม่ว่าจะเป็นการออกตรวจป้องกันเหตุตามชุมชนต่างๆ ร้านทอง ธนาคาร หรือแม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อก็ยังร้องขอให้ตำรวจไปเฝ้าระวังเหตุ และไม่มั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ตำรวจจะต้องเข้มงวดมาตรการคุมเข้มป้องกันเหตุตามห้างสรรพสินค้าประเภทต่างๆ อีกหรือไม่ เพราะในห้วงเวลานี้แม้แต่ร้านทองในห้างสรรพสินค้าโจรก็ยังปล้นอย่างย่ามใจในเวลากลางวัน แถมซ้ำเย้ยศักดิ์ศรีตำรวจด้วยการขี่รถจักรยานหนีให้ช้ำใจ (ขอย้ำว่าจักรยาน ไม่ใช่จักรยานยนต์ ซึ่งแปลความหมายว่าปล้นแล้วยังไม่จำเป็นต้องรีบหนีเหมือนที่เคยผ่านมา) ส่วนงานสืบสวนเป็นงานที่ต้องเร่งรัด ติดตามจับกุมผู้ที่กระทำความผิดโดยรวบรวมพยานหลักฐานมาให้ได้ครอบคลุมมากที่สุด

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับการลงโทษและรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม สิ่งที่ประชาชนคนไทยพึงตระหนักก็คือหมายจับคดีค้างเก่าต่างๆ ของตำรวจมีจำนวนไม่น้อย นั่นหมายความว่าผู้ที่กระทำความผิดในคดีต่างๆ ยังคงลอยนวลอยู่ในสังคมไทย และด้วยบริบทของความเป็นสังคมวัฒนธรรมไทยด้วยนั้น ทำให้ตำรวจที่ทำงานด้านการสืบสวนมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกาะติดในงาน ทำงานด้วยการใช้กระบวนการทางปัญญาที่แยบยลและต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง จะทำงานในลักษณะทำๆ หยุดๆ หรือพักไปทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนก่อนมิได้เนื่องจากจะทำให้เกิดผลเสียและล่าช้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ต่างๆ ที่สถานีตำรวจไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้เพราะต้องเดินทางมาทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ยืนกั้นเป็นตัวกลางกันชนเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างกันของผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ แล้วนั้น อะไรจะเกิดขึ้นในสังคมระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชน ?

จำนวนสถิติอาชญากรรมในประเภทต่างๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นในห้วงเวลานี้ทำให้ประชาชนเกิดความทุกข์ไม่น้อยในขณะที่ตำรวจเองก็ไม่ควรและไม่สามารถที่จะแสดงเหตุผลว่า "ไม่สามารถติดตามคดีหรือไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเต็มที่เนื่องจากต้องไปปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนแต่นี่คือสภาพความเป็นจริงที่คนไทยทุกคนจำเป็นต้องทราบและจำต้องยอมรับเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไข

ความทุกข์ในเรื่องดังกล่าวมิใช่เกิดขึ้นเฉพาะประชาชน หากแต่เสียงของตำรวจก็ไม่แตกต่างจากเสียงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้นในเวลานี้เช่นกัน

เขาก่นด่า ว่าเรานั้นเลือกข้าง เราลูกจ้าง ราชการ ทำตามเรื่อง นายเขาสั่ง ให้มา ดูบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่อง เลือกข้าง ตามที่เป็น...อยากจะกลับ ไปทำ ตามหน้าที่ บำบัดทุกข์ ดูแลสุข คนบ้านฉัน ไม่ใช่มา ยืนมอง คนด่ากัน ตะโกนลั่น ไล่ด่า ท้าต่อยตี... หากพรพระ มีจริง ขอดลให้ ผองคนไทย เข้าใจในวิถี ว่าตำรวจ เขามา ด้วยท่าที พร้อมเป็นมิตรกับทุกสี ด้วยจริงใจ

หากสถานการณ์สังคมยังคงเป็นเช่นนี้ และมีทิศทางแนวโน้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ประชาชนจำเป็นต้องเรียกร้องให้รัฐบาลต้องดำเนินการด้วยก็คือ การเพิ่มอัตรากำลังพลของตำรวจ(หรือใครก็ตาม)ที่จะมาทำหน้าที่ในการควบคุมฝูงชนโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ควรใช้กำลังพลเดิมที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่มีจำนวนน้อยมากอยู่แล้วมาทำหน้าที่นี้ควบคุมฝูงชนเช่นนี้ และปล่อยให้โจรได้ใจเพราะไร้ตำรวจทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชน บางทีการสรรหาคัดเลือกเด็กหนุ่มๆ เพื่อเข้ามาฝึกฝนเรียนรู้พัฒนาเพื่อทำหน้าที่เป็นกลุ่มตำรวจควบคุมฝูงชนอย่างมืออาชีพเลยอาจจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐบาลต้องพิจารณาและควรทำอย่างเร่งด่วนที่สุด หากเห็นความจำเป็นในการสร้างความสงบในชุมชนอย่างแท้จริง

น่าเวทนาที่เห็นตำรวจแก่ๆ ต้องเดินทางนั่งรถแรมคืนมาทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน ถึงแม้ว่าจะพยายามทำท่าทาง และฝึกฝนให้เข้มแข็งอย่างไร...สังขารมันก็ไม่ใช่ ! แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการ ทำให้ประเทศกลับคืนสู่ความเป็นประเทศไทยที่มีความสงบมิใช่หรือ ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น