ตำรวจคือพระเอก!
คือคำตอบที่ทำให้หลายคนในที่นั้นรู้สึกตกใจระคนประหลาดไม่น้อย
เนื่องจากผู้ที่ให้ข้อสรุปนี้เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้
ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้นำชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
เป็นผู้กระตุ้นการสร้างจิตสำนึกของผู้คนในชุมชนให้หวงแหนทรัพยากรที่มีค่าของชุมชนและรักษาสิ่งดีๆ
ในชุมชนไว้ ถึงแม้ว่าจะมีกระแสทุนไหล่บ่าโหมกระหน่ำเข้าสู่ชุมชนก็ตาม
ดังนั้นผู้พูดก็คือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ มีวิธีคิด
วิธีมองโลกในระดับที่ยอมรับได้คนหนึ่งทีเดียว
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้พูดเป็นบุคคลหนึ่งที่สนับสนุนการชุมนุมประท้วงต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลที่มีตำรวจทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เป็นตัวกลาง เป็นกันชนระหว่างกลุ่มคนที่ขัดแย้งกันด้วย!
ทำไมจึงคิดว่าตำรวจเป็นพระเอก?
“ผมคิดว่า หากทุกคนในสังคมหยุดคิดไตร่ตรองนิ่งๆ พวกเขาจะรู้สึกเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้ หากตำรวจทำหน้าที่ไม่เข้มแข็งเช่นนี้จะเกิดความรุนแรง วุ่นวายและส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่านี้ ผมว่าการทำหน้าที่ของตำรวจในยุคนี้ดีกว่าในทุกยุคที่ผ่านมา ตำรวจยุคนี้แสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ที่มีความอดทน อดกลั้นจริงๆ” ผู้นำคนเดียวกันกล่าว
ภาพของตำรวจที่มุ่งเน้นการจำต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในการรักษาความสงบภายในสังคมโดยใช้วิธีการตั้งรับที่เข้มแข็ง ไม่ได้แสดงภาพของการเป็นผู้รุกไล่ การบริหารงานของผู้นำตำรวจที่มีเอกภาพ และการร่วมแรงร่วมใจของเหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจที่แสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ถึงความอดทน อดกลั้นต่อการยั่วยุ การใช้ความรุนแรงต่างๆ จนประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งมิให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตายมากมายเหมือนอย่างที่เป็นมาในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มไพร่พลตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าในพื้นที่แห่งความขัดแย้งนั้น ได้แสดงท่าที ความรู้สึกที่เข้าใจประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงและยอมที่จะเป็นฝ่ายรับและอดทนมากกว่าที่จะโกรธเคืองและตอบโต้นั้น นับว่าเป็นบทสะท้อนของผู้ที่มีจิตวิญญาณ มีหัวใจของความเป็นตำรวจโดยแท้
“ผมเข้าใจพวกเขานะ คนในบ้านผมก็ยังมีความเห็นแตกต่างเรื่องการเมืองจนเถียงกัน ไม่พูดกันเลย ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีความโกรธเคืองขุ่นใจ แต่พวกผมก็อยากให้เขาเข้าใจตำรวจด้วย เราไม่ได้ต้องการทำร้ายประชาชน เราทำทุกอย่าง เพราะอยากให้สังคมสงบสุข ผมว่านายส่วนใหญ่ก็พยายามทำเต็มที่นะ ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่”ตำรวจชั้นผู้น้อยผู้ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนแสดงความรู้สึกที่มีต่อผู้ชุมนุม
ในขณะที่ผู้ชุมนุมจำนวนไม่น้อยเห็นพ้องกับแกนนำในการชุมนุมว่า ตำรวจคือคู่ตรงข้าม คืออริ คือศัตรู ไม่เข้าข้างประชาชน ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการนำภาพลักษณ์ของตำรวจในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประสบการณ์ในอดีตที่มีต่อการปฏิบัติงานและการประพฤติตนของตำรวจมาประมวลร่วมกับการสื่อสารที่ไร้พรมแดนด้วยการสร้างข่าว สร้างกระแส สร้างข้อมูลที่ต่างบิดเบือนความจริงผ่านสื่อประเภทต่างๆ นั้น ได้กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ ล้วนส่งผลต่อทัศนคติเชิงลบที่มีต่อตำรวจเพิ่มขึ้น
การเปิดรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ลึกซึ้ง จึงเป็นความจำเป็น “หวังว่า ในวงการตำรวจจะยังมีแกะที่หลงฝูง ที่ไม่ถูกครอบด้วยอำนาจเงินและความโลภจนทำร้ายประชาชน” เสียงส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อมีการเสนอความเห็นว่าด้วยพื้นนิสัย และวัฒนธรรมความเป็นตำรวจไทยนั้น มีตำรวจไทยจำนวนน้อยมากที่กล้าใช้ความรุนแรงกับประชาชน เนื่องมาจากตำรวจทำงานและใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับกฎหมาย ทำให้ตำรวจเป็นกลุ่มบุคคลที่ระมัดระวังตัวอย่างมากในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผิดกฎหมายที่อาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับชีวิตร่างกาย...นี่คือความจริงที่เป็นวิถีวัฒนธรรมการทำงานในโลกของตำรวจ
“ทุกวงการแหละ มีทั้งคนดีและไม่ดี เราไม่ได้ฟันธง ทั้งกรมทั้งกอง เราไม่ได้กล่าวโทษใคร รอดูกันไป คนที่ถูกอำนาจเงินครอบงำ...ตำรวจที่ไม่เดินเคียงข้างประชาชนคือตำรวจที่ชอบเงิน อยากได้ตำแหน่งใหญ่โต อยากมีอำนาจถึงได้ตกเป็นเครื่องมือ”คำพูดพรั่งพรูแสดงความรู้สึกที่มีต่อตำรวจ
คำพูดดังกล่าวนั้น หากพินิจพิเคราะห์ไตร่ตรองให้รอบคอบละเอียดถี่ถ้วน จะเห็นได้ว่า ไม่มีเนื้อหาใดที่ผิดพลาดเลย ทุกอย่างล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น!!
ตำรวจกว่า ๒ แสนชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบภายในปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และเนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ย่อมมีตำรวจนอกแถว แกะดำ หลงฝูง อีกทั้งคนไทยต้องยอมรับว่า สังคมไทยปัจจุบันได้ตกอยู่ภายใต้กลไกของอำนาจที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ที่ได้เข้ากดทับครอบงำแทรกแซงทุกวงการ ไม่ละเว้นแม้กระทั่งองค์กรตำรวจด้วย ดังนั้น หากองค์กรตำรวจได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะต่อต้าน ขัดขืน และรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพ เอกภาพในการบริหารจัดการเพื่อให้ไพร่พลตำรวจมดงานได้กระทำภารกิจหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรีของความเป็นตำรวจนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการสนับสนุน เสริมพลัง มากกว่าที่จะเกลียดชังและผลักไส
หากคุณเกลียดตำรวจ เหยียดหยามและดูแคลน ลองหันกลับมาทบทวนและตั้งคำถามว่า คุณจะมีส่วนช่วยให้ตำรวจดีขึ้นอย่างไรบ้าง มันน่าใจหายที่คุณอาจหลงลืมไปว่าในที่สุดแล้วคุณก็ต้องเรียกใช้ตำรวจอยู่ดี...ถึงคุณจะเกลียดอย่างไร คุณก็ต้องเรียกใช้ตำรวจ ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองหันกลับมาทำความเข้าใจและร่วมมือกัน...ช่วยให้ตำรวจไทยมีขวัญและกำลังใจทำงานเพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์...มิใช่เพื่อใคร แต่เพื่อความผาสุกของสังคม!!
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้พูดเป็นบุคคลหนึ่งที่สนับสนุนการชุมนุมประท้วงต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลที่มีตำรวจทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เป็นตัวกลาง เป็นกันชนระหว่างกลุ่มคนที่ขัดแย้งกันด้วย!
ทำไมจึงคิดว่าตำรวจเป็นพระเอก?
“ผมคิดว่า หากทุกคนในสังคมหยุดคิดไตร่ตรองนิ่งๆ พวกเขาจะรู้สึกเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้ หากตำรวจทำหน้าที่ไม่เข้มแข็งเช่นนี้จะเกิดความรุนแรง วุ่นวายและส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่านี้ ผมว่าการทำหน้าที่ของตำรวจในยุคนี้ดีกว่าในทุกยุคที่ผ่านมา ตำรวจยุคนี้แสดงให้เห็นว่า เป็นผู้ที่มีความอดทน อดกลั้นจริงๆ” ผู้นำคนเดียวกันกล่าว
ภาพของตำรวจที่มุ่งเน้นการจำต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในการรักษาความสงบภายในสังคมโดยใช้วิธีการตั้งรับที่เข้มแข็ง ไม่ได้แสดงภาพของการเป็นผู้รุกไล่ การบริหารงานของผู้นำตำรวจที่มีเอกภาพ และการร่วมแรงร่วมใจของเหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจที่แสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ถึงความอดทน อดกลั้นต่อการยั่วยุ การใช้ความรุนแรงต่างๆ จนประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งมิให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตายมากมายเหมือนอย่างที่เป็นมาในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มไพร่พลตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าในพื้นที่แห่งความขัดแย้งนั้น ได้แสดงท่าที ความรู้สึกที่เข้าใจประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงและยอมที่จะเป็นฝ่ายรับและอดทนมากกว่าที่จะโกรธเคืองและตอบโต้นั้น นับว่าเป็นบทสะท้อนของผู้ที่มีจิตวิญญาณ มีหัวใจของความเป็นตำรวจโดยแท้
“ผมเข้าใจพวกเขานะ คนในบ้านผมก็ยังมีความเห็นแตกต่างเรื่องการเมืองจนเถียงกัน ไม่พูดกันเลย ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีความโกรธเคืองขุ่นใจ แต่พวกผมก็อยากให้เขาเข้าใจตำรวจด้วย เราไม่ได้ต้องการทำร้ายประชาชน เราทำทุกอย่าง เพราะอยากให้สังคมสงบสุข ผมว่านายส่วนใหญ่ก็พยายามทำเต็มที่นะ ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่”ตำรวจชั้นผู้น้อยผู้ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนแสดงความรู้สึกที่มีต่อผู้ชุมนุม
ในขณะที่ผู้ชุมนุมจำนวนไม่น้อยเห็นพ้องกับแกนนำในการชุมนุมว่า ตำรวจคือคู่ตรงข้าม คืออริ คือศัตรู ไม่เข้าข้างประชาชน ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการนำภาพลักษณ์ของตำรวจในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประสบการณ์ในอดีตที่มีต่อการปฏิบัติงานและการประพฤติตนของตำรวจมาประมวลร่วมกับการสื่อสารที่ไร้พรมแดนด้วยการสร้างข่าว สร้างกระแส สร้างข้อมูลที่ต่างบิดเบือนความจริงผ่านสื่อประเภทต่างๆ นั้น ได้กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ ล้วนส่งผลต่อทัศนคติเชิงลบที่มีต่อตำรวจเพิ่มขึ้น
การเปิดรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ลึกซึ้ง จึงเป็นความจำเป็น “หวังว่า ในวงการตำรวจจะยังมีแกะที่หลงฝูง ที่ไม่ถูกครอบด้วยอำนาจเงินและความโลภจนทำร้ายประชาชน” เสียงส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อมีการเสนอความเห็นว่าด้วยพื้นนิสัย และวัฒนธรรมความเป็นตำรวจไทยนั้น มีตำรวจไทยจำนวนน้อยมากที่กล้าใช้ความรุนแรงกับประชาชน เนื่องมาจากตำรวจทำงานและใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับกฎหมาย ทำให้ตำรวจเป็นกลุ่มบุคคลที่ระมัดระวังตัวอย่างมากในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผิดกฎหมายที่อาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับชีวิตร่างกาย...นี่คือความจริงที่เป็นวิถีวัฒนธรรมการทำงานในโลกของตำรวจ
“ทุกวงการแหละ มีทั้งคนดีและไม่ดี เราไม่ได้ฟันธง ทั้งกรมทั้งกอง เราไม่ได้กล่าวโทษใคร รอดูกันไป คนที่ถูกอำนาจเงินครอบงำ...ตำรวจที่ไม่เดินเคียงข้างประชาชนคือตำรวจที่ชอบเงิน อยากได้ตำแหน่งใหญ่โต อยากมีอำนาจถึงได้ตกเป็นเครื่องมือ”คำพูดพรั่งพรูแสดงความรู้สึกที่มีต่อตำรวจ
คำพูดดังกล่าวนั้น หากพินิจพิเคราะห์ไตร่ตรองให้รอบคอบละเอียดถี่ถ้วน จะเห็นได้ว่า ไม่มีเนื้อหาใดที่ผิดพลาดเลย ทุกอย่างล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น!!
ตำรวจกว่า ๒ แสนชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบภายในปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และเนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ย่อมมีตำรวจนอกแถว แกะดำ หลงฝูง อีกทั้งคนไทยต้องยอมรับว่า สังคมไทยปัจจุบันได้ตกอยู่ภายใต้กลไกของอำนาจที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ที่ได้เข้ากดทับครอบงำแทรกแซงทุกวงการ ไม่ละเว้นแม้กระทั่งองค์กรตำรวจด้วย ดังนั้น หากองค์กรตำรวจได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะต่อต้าน ขัดขืน และรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพ เอกภาพในการบริหารจัดการเพื่อให้ไพร่พลตำรวจมดงานได้กระทำภารกิจหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรีของความเป็นตำรวจนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการสนับสนุน เสริมพลัง มากกว่าที่จะเกลียดชังและผลักไส
หากคุณเกลียดตำรวจ เหยียดหยามและดูแคลน ลองหันกลับมาทบทวนและตั้งคำถามว่า คุณจะมีส่วนช่วยให้ตำรวจดีขึ้นอย่างไรบ้าง มันน่าใจหายที่คุณอาจหลงลืมไปว่าในที่สุดแล้วคุณก็ต้องเรียกใช้ตำรวจอยู่ดี...ถึงคุณจะเกลียดอย่างไร คุณก็ต้องเรียกใช้ตำรวจ ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองหันกลับมาทำความเข้าใจและร่วมมือกัน...ช่วยให้ตำรวจไทยมีขวัญและกำลังใจทำงานเพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์...มิใช่เพื่อใคร แต่เพื่อความผาสุกของสังคม!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น