วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ตำรวจมะเขือเทศ? : โลกตำรวจ โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข (๑๒ มกราคม ๒๕๕๗)

"ความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตำรวจต่ำถึงสุดขีด" เป็นถ้อยคำที่น่าสะเทือนใจและมิอาจยอมรับได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน หากประชาชนไร้ซึ่งความเชื่อมั่นที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการบังคับใช้กฎหมายและเป็นกลไกด่านแรกของกระบวนการยุติธรรมแล้วนั้น สังคมจะเป็นเช่นไร ?

ถึงแม้ว่าสังคมจะเคลื่อนไปตามกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเพิ่มระดับการใช้ความรุนแรงทางสังคมมากขึ้นด้วย โดยสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนจากการต่อสู้กันทางโลกของสังคมออนไลน์ แต่สังคมก็ยังจำเป็นต้องมีระเบียบหรือที่เราคุ้นชินกับคำว่าการจัดระเบียบของสังคม ซึ่งหมายถึงกระบวนการทางสังคมที่คอยควบคุมความประพฤติของคนในสังคมให้อยู่ในระเบียบ กฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดไว้ เป็นการสร้างบรรทัดฐานทางสังคมซึ่งก็คือ แบบแผน มาตรฐานการปฏิบัติที่สังคมยอมรับว่าสมควรปฏิบัติตามสถานภาพและบทบาทที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น ตำรวจต้องบริการประชาชน รักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงรักษาความสงบภายในสังคมเพื่อให้คนที่เป็นอยู่ในสังคมมีชีวิตที่ผาสุก ทั้งนี้ สถานภาพ บทบาทและหน้าที่จำเป็นต้องดำรงไปอย่างสอดคล้องกัน

บรรทัดฐานทางสังคมมีทั้งที่เป็นวิถีประชาและจารีต และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกฎหมายเพื่อบังคับใช้ด้วย เนื่องจากสังคมประกอบด้วยกลุ่มคนที่แตกต่างกัน มีความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มอยู่เสมอ กฎหมายจึงมีความสำคัญในการขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากไม่มีกฎหมายกลุ่มก็จะต้องขจัดความขัดแย้งกันเอง ตัดสินกันเองเป็นส่วนตัว ซึ่งย่อมไม่มีความยุติธรมต่อคู่ขัดแย้ง การทำหน้าที่ตามบทบาทของตำรวจที่ดีจึงไม่ใช่การเลือกข้างไปอยู่ในสถานะของคู่ขัดแย้งและไม่ควรผลักไสตำรวจให้ไปยืนอยู่ในสถานะของคู่ขัดแย้งด้วย...ตำรวจต้องยืนอยู่อย่างเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมาย

"อย่างน้อยพวกเขาก็ได้มีรูระบายความอัดอั้นตันใจ" นายตำรวจใหญ่ชี้แจงแสดงเหตุผลของการรวมกลุ่มของตำรวจในแต่ละกองบัญชาการภาคต่างๆ อาทิเช่นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ลานย่าโม ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจชลบุรี เป็นต้น โดยมุ่งเน้นที่จะบอกแก่สังคมว่าเป็นการรวมพลังปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีตำรวจไทย

ความอัดอั้นตันใจของตำรวจมิใช่เกิดขึ้นจากการที่เพื่อนตำรวจตายเพียง ๑ ศพ หรือ ๒ ศพ จากการปฏิบัติหน้าที่ในการพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยแต่เพียงเท่านั้น เพราะการตายในหน้าที่เป็นเรื่องที่ตำรวจถูกปลูกฝังว่ามีเกียรติ หากแต่การปฏิบัติหน้าที่ในยามนี้กลับเต็มไปด้วยกระแสของการใส่ร้ายป้ายสี การกระทำย่ำยีในรูปแบบต่างๆ จนตำรวจส่วนใหญ่ยังอดที่จะหวาดกลัวกับความรู้สึกของตนเองไม่ได้ นั่นคือ กลัวว่าความอดทนอดกลั้นจะสิ้นสุดลง หากตำรวจหมดความอดทน อดกลั้นเสียแล้วอะไรจะเกิดขึ้น? การปกป้องเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของตำรวจทำได้โดยวิธีการมาชุมนุมกัน ซึ่งไม่แตกต่างจากเหล่าฝูงชนกลุ่มต่างๆในเวลานี้เช่นนั้นหรือ? อะไรหรือใครอยู่เบื้องหลังวิธีคิดและวิธีการเช่นนี้? หากวิเคราะห์จากอุดมคติตำรวจที่เปรียบเสมือนคาถาสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจนั้นยังพบว่า เรื่องของความอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บใจยังถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้น ดั่งที่ว่า...เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปรานีต่อประชาชน อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก...

ในห้วงเวลาที่ความขัดแย้งของการช่วงชิงอำนาจทวีความรุนแรงในสังคมไทยยามนี้ การที่ตำรวจจะระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจผ่านการมาร่วมชุมนุมกันจะเป็นไปเพื่อแสดงพลังหรือมีเป้าหมายอย่างใดล้วนไม่บังเกิดผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเชิงบวกจากเหล่าบรรดากลุ่มบุคคลที่มุ่งหวังจะผลักไสให้ตำรวจคือคู่ตรงข้าม หรือพูดชัดๆ ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่เกลียดหรือมีอคติต่อตำรวจเป็นทุนเดิม หากแต่กลับทำให้เห็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจนว่าตำรวจกำลังจะประกาศตนเป็นคู่ตรงข้ามแล้ว และการรวมกลุ่มดังกล่าวทำให้ตีความหมายไปในทางที่เสี่ยงได้ว่า "อย่าข่มเหงกันนะฉันก็มีกำลังนะ ฉันก็มีพลังนะซึ่งความหมายดังกล่าวไม่ใช่วิถีปกติของตำรวจไทย ดังจะเห็นได้ว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสังคมไทย และตำรวจก็ไม่ควรจะกล่าวอ้างว่า "เพราะเหลือทนแล้ว จึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น

มิใช่ว่าจะสนับสนุนให้ตำรวจจำต้องอดทน อดทน และอดทนอยู่เพียงลำพัง โดดเดี่ยว และว้าเหว่โดยไม่ได้รับการสนับสนุนสนใจไยดี หากแต่ต้องการตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลและผู้นำตำรวจจึงปล่อยให้เหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจต้องอดทน อดกลั้นต่อการกระทำรุนแรงที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ จนกระทั่งเหล่าบรรดาตำรวจไพร่พลเหล่านี้เริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งหากจะตีความหมายว่า การตอบโต้ของเหล่าไพร่พลตำรวจเป็นไปในลักษณะเป็นคู่ตรงข้ามอย่างชัดเจนกับผู้ชุมนุม ย่อมหมายความว่า ตำรวจได้หลงกลติดกับดักทางการเมืองแล้วนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่?...ลักษณะเช่นนี้ที่ทำให้ความเข้าใจผิดๆ เกิดขึ้น เช่นการนิยามที่ว่า ตำรวจมะเขือเทศใช่หรือไม่ ?

ดังนั้น การเสริมพลังให้ตำรวจเป็นตำรวจมืออาชีพ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีสมกับเป็นตำรวจของพระราชาและประชาชน จึงควรเป็นการทำให้ตำรวจมีความสามารถที่จะรักษาสถานะความอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บใจ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อ กรุณาปรานีต่อประชาชน...ดำรงตนในยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญา รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต....นี่ต่างหากคือตำรวจมืออาชีพ ไม่ใช่กลายร่างไปเป็นม็อบ (Mob) เสียเอง !!

การกระทำการด้วยปัญญาในการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ ยานพาหนะ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมฝูงชนและการมียุทธวิธีที่เหมาะสมในการรับมือ รวมถึงการมียุทธวิธีที่เหมาะสมในการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจของลูกน้องไพร่พลตำรวจต่างหากที่เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างเร่งด่วน ดังนั้นหากตำรวจจะรวมกลุ่มกันอีกครั้ง ขอให้ตั้งคำถามกับรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องด้วยว่า...ไม่อายหรือที่เห็นตำรวจวิ่งหัวซุกหัวซุนหลบกระสุนโดยที่มือถือแผ่นพลาสติกและไม้โทรมๆ ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น