ที่ใดมีอำนาจ
ที่นั่นมีการต่อต้านขัดขืน (Where there is power, there is resistance) มิเชล ฟูโกต์ กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า
การดำรงอยู่ของอำนาจขึ้นอยู่กับการต่อต้านขัดขืนด้วยเช่นกัน
โดยการต่อต้านขัดขืนจะมีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายและมีลักษณะเฉพาะของตนเอง “เอาโรงพักคืนมา เอาโรงพักคืนมา” เสียงตะโกนเรียกหาโรงพักของเหล่าตำรวจท่ามกลางภาวะการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเหล่าบรรดาตำรวจควบคุมฝูงชนได้สร้างความฉงน
สงสัย ระคนประหลาดใจให้แก่เหล่ามวลมหาประชาชนในวันนั้นไม่น้อย
“งงนะ อยู่ๆ ตำรวจก็ตะโกนว่าเอาโรงพักคืนมา พวกเราเอาโรงพักมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เรากำลังจะเข้าไปยึดนครบาล ไม่ได้ไปยึดโรงพักซะหน่อย สงสัยมันจะเพี้ยนไปแล้ว...” เสียงของประชาชนที่มีต่อการกระทำของตำรวจในวันนั้น กลับตรงข้ามกับความรู้สึกผ่อนคลายของเหล่าบรรดาตำรวจที่ได้แสดงออกโดยการตอบโต้ผ่านการเสียดสี ประชดประชันต่อผู้ที่เคยมีอำนาจเหนือกลุ่มตนและผลจากการใช้อำนาจในครั้งนั้นได้ส่งผลให้เหล่าบรรดาตำรวจจะต้องเก็บรักษาโรงพักร้าง(ที่ยังสร้างไม่เสร็จ)ไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไปโดยที่ต้องพยายามหาวิธีการที่จะมีสถานที่ทำงานไว้เพื่อใช้ในการบริการประชาชนให้ดูไม่น่าสังเวชใจ!!
ถึงแม้ว่าการกระทำในวันนั้นอาจทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจในแง่มุมของการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีคุณลักษณะที่อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบากจะเจือจางลงไปอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการถูกกดดันอยู่ภายใต้การกดทับของการใช้อำนาจที่พวกเขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อพวกเขามาเป็นเวลานานและไม่ได้ตอบโต้ ต่อต้าน ขัดขืนด้วยยึดมั่นในวินัยและการบัญชาการของผู้เป็นนายที่มุ่งเน้นยุทธศาสตร์ตั้งรับอย่างเข้มแข็งด้วยความอดทน อดกลั้น แต่ทว่าในที่สุดกฎของฟูโกที่ว่าด้วยการต่อต้านขัดขืนอำนาจก็เป็นจริงโดยที่เหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านั้นเลือกที่ตอบโต้โดยการพุ่งเป้าไปที่ผู้มีอำนาจที่กระทำต่อพวกเขา...ที่ไม่ใช่เหล่าบรรดาประชาชนหรือมวลมหาประชาชนในวันนั้น “พวกผมไม่เคยโกรธประชาชน พ่อแม่ พี่น้องที่มาผลักไส มาปะทะกับผมเลย ตรงข้ามพวกผมเป็นห่วงกลัวพวกเขาจะเจ็บด้วยซ้ำ พวกผมอาจรู้สึกหงุดหงิดบ้าง เพราะตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่เข้าใจพวกผมบ้าง ไม่เข้าใจเจตนาของพวกผม ไม่เข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ของพวกผม ไม่เข้าใจว่า ถ้าไม่มีพวกผมปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นตามมา? แต่พวกผมก็เข้าใจพวกเขา เพราะเข้าใจไงเลยไม่โกรธ ไม่เกลียดถึงแม้ว่าประชาชนจะด่า จะยิงหัวนอตใส่ จะเอาน้ำผสมพริกมาสาด” ความรู้สึกที่เก็บกดไว้ในใจพรั่งพรูมากมายล้วนแสดงให้เห็นถึงความหวังของเหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจที่ต้องการความเข้าใจจากประชาชน
"ตำรวจไม่อยู่ข้างประชาชน" นี่คือเสียงของผู้ชุมนุมที่อยู่ในกลุ่มมวลมหาประชาชน “ทำไม ตำรวจไม่สู้ ทำไมตำรวจปล่อยให้พวกนั้นทำกับตำรวจอย่างนี้ ปล่อยให้เขาหยามเกียรติหยามศักดิ์ศรีอยู่ได้ยังไง” นี่คือเสียงของประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากกลุ่มมวลมหาประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ไม่ใช่ความผิดของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกหมู่เหล่าที่ไม่เข้าใจตำรวจและแสดงพฤติกรรมต่างๆ นานาต่อตำรวจตามความเข้าใจของพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้เนื่องมาจากองค์กรตำรวจเองก็ไม่เคยที่จะพยายามก้าวพ้นจากข้อจำกัดต่างๆ ออกมาทำความเข้าใจและอธิบายที่มาที่ไปในการทำงานตำรวจให้ประชาชนได้เข้าใจเช่นเดียวกันตำรวจได้ปิดโลกของตำรวจ โดยอ้างว่า เป็นการยากที่จะอธิบายให้ประชาชนและผู้คนต่างๆ ในสังคมเข้าใจว่าตำรวจทำอะไร อย่างไร มีปัญหาอุปสรรค มีเหตุปัจจัยอันเป็นที่มาของการกระทำอันซับซ้อนย้อนแย้งอย่างไร? แต่ตำรวจมักจะพูดและตอกย้ำอยู่เสมอว่า เชื่อเถอะว่าตำรวจทำเพื่อประชาชน ผ่านนโยบายตำรวจทุกยุคทุกสมัย เช่น บริการดุจญาติพิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว หรือนโยบายของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ย้ำนักย้ำหนาว่า ตำรวจทุกนายทุกระดับจะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยต้องทำงานอย่างตำรวจมืออาชีพ
“โปรดจงเข้าใจชีวิตตำรวจไทยอย่างเราบ้าง อย่ามาหยามศักดิ์ศรีกันนัก” เป็นคำเรียกร้องของนายดาบ ซึ่งเป็นไพร่พลตำรวจผู้ได้รับแรงปะทะโดยตรง “ถ้าตำรวจปฏิบัติตามกฎหมายได้เสมอภาค มีจริยธรรม และมีจรรยาบรรณ อยู่สังกัดอะไรก็มีเกียรติ ทุกวันนี้ตำรวจแย่ก็เพราะไม่มีคุณสมบัติที่ดี” เสียงของประชาชนที่มีทัศนคติและความเชื่อมั่นว่าตำรวจยังสอบไม่ผ่านและต้องปรับปรุงตนเอง และด้วยทัศนคติเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาคิดว่าตำรวจควรขึ้นตรงต่อท้องถิ่น ซึ่งผูกติดอยู่กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด!!!
"หยุดคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวท่านเอง โดยไม่ต้องไปถามความเห็นจากใคร ถูกผิดอยู่ในใจของท่านเอง อยากให้ลองไปค้นหาประวัติการเกิดมาขององค์กรตำรวจว่าเกิดมาโดยใคร อย่างไร และเพื่อประโยชน์ของใคร?” เสียงเรียกร้องของตำรวจที่ต้องการให้ผู้ที่ไม่เข้าใจตำรวจ ผู้ที่มองตำรวจในแง่มุมที่ไม่ดี หรือผู้ที่แสดงเจตจำนงในการปฏิรูปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตำรวจได้ทบทวนไตร่ตรองสะท้อนคิด โดยที่ตำรวจผู้เรียกร้องเหล่านี้ลืมคิดไปว่า จะให้ประชาชนหรือผู้คนที่ไม่เข้าใจตำรวจเกิดความเข้าใจที่มาที่ไปและเหตุแห่งการกระทำต่างๆ ของตำรวจอย่างแจ่มชัดได้อย่างไรในเมื่อเหล่าประชาชนและมวลมหาประชาชนหรือผู้มีอำนาจทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีข้อมูลหรือประสบการณ์เกี่ยวกับกลไกธรรมชาติและความกดดันต่างๆ ที่เหล่าบรรดาตำรวจรู้เป็นอย่างดีเลย...
ดังนั้นต่อให้ประชาชนหยุดและคิดเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี!! ทางออกจึงย้อนกลับมาที่ตำรวจต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้ได้ว่า ตำรวจเป็นใคร ตำรวจทำอะไร ธรรมชาติงานของตำรวจท่ามกลางบริบททางสังคมวัฒนธรรมและการเมืองแบบไทยๆ เป็นอย่างไร?...หวังว่าคงไม่ตอบว่าตำรวจคือผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาความสงบภายในสังคมแต่เพียงเท่านั้น เพราะประชาชนเขาก็รู้แค่ปรากฏการณ์ส่วนผิวที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น เขาเห็นตำรวจรับส่วย เขาเห็นตำรวจดูแลนักการเมือง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมตำรวจต้องรับส่วย ทำไมตำรวจต้องดูแลนักการเมือง?
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งคืออะไร? ถึงเวลาแล้วที่องค์กรตำรวจต้องสื่อสารเชิงรุกเพื่อสร้างความเข้าใจองค์กรตำรวจให้เกิดขึ้นให้จงได้ อย่าทำแต่เพียงพูดว่า "ท่านไม่เป็นตำรวจ ท่านพัฒนาตำรวจไม่ได้หรอกครับ เพราะท่านเองยังไม่รู้ปัญหาของตำรวจเลย” อย่าลืมว่าผู้ที่สร้างมวลมหาประชาชนให้เข้าใจและยอมรับได้อย่างแท้จริงคือผู้ที่มีอำนาจตัวจริง(ย้ำว่ามวลมหาประชาชนจริงๆ ที่เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ) ดังนั้น หากตำรวจอยากให้ประชาชนเข้าใจตำรวจจงลงมือทำเดี๋ยวนี้!!
“งงนะ อยู่ๆ ตำรวจก็ตะโกนว่าเอาโรงพักคืนมา พวกเราเอาโรงพักมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เรากำลังจะเข้าไปยึดนครบาล ไม่ได้ไปยึดโรงพักซะหน่อย สงสัยมันจะเพี้ยนไปแล้ว...” เสียงของประชาชนที่มีต่อการกระทำของตำรวจในวันนั้น กลับตรงข้ามกับความรู้สึกผ่อนคลายของเหล่าบรรดาตำรวจที่ได้แสดงออกโดยการตอบโต้ผ่านการเสียดสี ประชดประชันต่อผู้ที่เคยมีอำนาจเหนือกลุ่มตนและผลจากการใช้อำนาจในครั้งนั้นได้ส่งผลให้เหล่าบรรดาตำรวจจะต้องเก็บรักษาโรงพักร้าง(ที่ยังสร้างไม่เสร็จ)ไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไปโดยที่ต้องพยายามหาวิธีการที่จะมีสถานที่ทำงานไว้เพื่อใช้ในการบริการประชาชนให้ดูไม่น่าสังเวชใจ!!
ถึงแม้ว่าการกระทำในวันนั้นอาจทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจในแง่มุมของการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีคุณลักษณะที่อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบากจะเจือจางลงไปอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการถูกกดดันอยู่ภายใต้การกดทับของการใช้อำนาจที่พวกเขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อพวกเขามาเป็นเวลานานและไม่ได้ตอบโต้ ต่อต้าน ขัดขืนด้วยยึดมั่นในวินัยและการบัญชาการของผู้เป็นนายที่มุ่งเน้นยุทธศาสตร์ตั้งรับอย่างเข้มแข็งด้วยความอดทน อดกลั้น แต่ทว่าในที่สุดกฎของฟูโกที่ว่าด้วยการต่อต้านขัดขืนอำนาจก็เป็นจริงโดยที่เหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจชั้นผู้น้อยเหล่านั้นเลือกที่ตอบโต้โดยการพุ่งเป้าไปที่ผู้มีอำนาจที่กระทำต่อพวกเขา...ที่ไม่ใช่เหล่าบรรดาประชาชนหรือมวลมหาประชาชนในวันนั้น “พวกผมไม่เคยโกรธประชาชน พ่อแม่ พี่น้องที่มาผลักไส มาปะทะกับผมเลย ตรงข้ามพวกผมเป็นห่วงกลัวพวกเขาจะเจ็บด้วยซ้ำ พวกผมอาจรู้สึกหงุดหงิดบ้าง เพราะตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่เข้าใจพวกผมบ้าง ไม่เข้าใจเจตนาของพวกผม ไม่เข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ของพวกผม ไม่เข้าใจว่า ถ้าไม่มีพวกผมปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นตามมา? แต่พวกผมก็เข้าใจพวกเขา เพราะเข้าใจไงเลยไม่โกรธ ไม่เกลียดถึงแม้ว่าประชาชนจะด่า จะยิงหัวนอตใส่ จะเอาน้ำผสมพริกมาสาด” ความรู้สึกที่เก็บกดไว้ในใจพรั่งพรูมากมายล้วนแสดงให้เห็นถึงความหวังของเหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจที่ต้องการความเข้าใจจากประชาชน
"ตำรวจไม่อยู่ข้างประชาชน" นี่คือเสียงของผู้ชุมนุมที่อยู่ในกลุ่มมวลมหาประชาชน “ทำไม ตำรวจไม่สู้ ทำไมตำรวจปล่อยให้พวกนั้นทำกับตำรวจอย่างนี้ ปล่อยให้เขาหยามเกียรติหยามศักดิ์ศรีอยู่ได้ยังไง” นี่คือเสียงของประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากกลุ่มมวลมหาประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ไม่ใช่ความผิดของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกหมู่เหล่าที่ไม่เข้าใจตำรวจและแสดงพฤติกรรมต่างๆ นานาต่อตำรวจตามความเข้าใจของพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้เนื่องมาจากองค์กรตำรวจเองก็ไม่เคยที่จะพยายามก้าวพ้นจากข้อจำกัดต่างๆ ออกมาทำความเข้าใจและอธิบายที่มาที่ไปในการทำงานตำรวจให้ประชาชนได้เข้าใจเช่นเดียวกันตำรวจได้ปิดโลกของตำรวจ โดยอ้างว่า เป็นการยากที่จะอธิบายให้ประชาชนและผู้คนต่างๆ ในสังคมเข้าใจว่าตำรวจทำอะไร อย่างไร มีปัญหาอุปสรรค มีเหตุปัจจัยอันเป็นที่มาของการกระทำอันซับซ้อนย้อนแย้งอย่างไร? แต่ตำรวจมักจะพูดและตอกย้ำอยู่เสมอว่า เชื่อเถอะว่าตำรวจทำเพื่อประชาชน ผ่านนโยบายตำรวจทุกยุคทุกสมัย เช่น บริการดุจญาติพิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว หรือนโยบายของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ย้ำนักย้ำหนาว่า ตำรวจทุกนายทุกระดับจะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยต้องทำงานอย่างตำรวจมืออาชีพ
“โปรดจงเข้าใจชีวิตตำรวจไทยอย่างเราบ้าง อย่ามาหยามศักดิ์ศรีกันนัก” เป็นคำเรียกร้องของนายดาบ ซึ่งเป็นไพร่พลตำรวจผู้ได้รับแรงปะทะโดยตรง “ถ้าตำรวจปฏิบัติตามกฎหมายได้เสมอภาค มีจริยธรรม และมีจรรยาบรรณ อยู่สังกัดอะไรก็มีเกียรติ ทุกวันนี้ตำรวจแย่ก็เพราะไม่มีคุณสมบัติที่ดี” เสียงของประชาชนที่มีทัศนคติและความเชื่อมั่นว่าตำรวจยังสอบไม่ผ่านและต้องปรับปรุงตนเอง และด้วยทัศนคติเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาคิดว่าตำรวจควรขึ้นตรงต่อท้องถิ่น ซึ่งผูกติดอยู่กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด!!!
"หยุดคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวท่านเอง โดยไม่ต้องไปถามความเห็นจากใคร ถูกผิดอยู่ในใจของท่านเอง อยากให้ลองไปค้นหาประวัติการเกิดมาขององค์กรตำรวจว่าเกิดมาโดยใคร อย่างไร และเพื่อประโยชน์ของใคร?” เสียงเรียกร้องของตำรวจที่ต้องการให้ผู้ที่ไม่เข้าใจตำรวจ ผู้ที่มองตำรวจในแง่มุมที่ไม่ดี หรือผู้ที่แสดงเจตจำนงในการปฏิรูปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตำรวจได้ทบทวนไตร่ตรองสะท้อนคิด โดยที่ตำรวจผู้เรียกร้องเหล่านี้ลืมคิดไปว่า จะให้ประชาชนหรือผู้คนที่ไม่เข้าใจตำรวจเกิดความเข้าใจที่มาที่ไปและเหตุแห่งการกระทำต่างๆ ของตำรวจอย่างแจ่มชัดได้อย่างไรในเมื่อเหล่าประชาชนและมวลมหาประชาชนหรือผู้มีอำนาจทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่มีข้อมูลหรือประสบการณ์เกี่ยวกับกลไกธรรมชาติและความกดดันต่างๆ ที่เหล่าบรรดาตำรวจรู้เป็นอย่างดีเลย...
ดังนั้นต่อให้ประชาชนหยุดและคิดเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี!! ทางออกจึงย้อนกลับมาที่ตำรวจต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้ได้ว่า ตำรวจเป็นใคร ตำรวจทำอะไร ธรรมชาติงานของตำรวจท่ามกลางบริบททางสังคมวัฒนธรรมและการเมืองแบบไทยๆ เป็นอย่างไร?...หวังว่าคงไม่ตอบว่าตำรวจคือผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาความสงบภายในสังคมแต่เพียงเท่านั้น เพราะประชาชนเขาก็รู้แค่ปรากฏการณ์ส่วนผิวที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น เขาเห็นตำรวจรับส่วย เขาเห็นตำรวจดูแลนักการเมือง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมตำรวจต้องรับส่วย ทำไมตำรวจต้องดูแลนักการเมือง?
สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งคืออะไร? ถึงเวลาแล้วที่องค์กรตำรวจต้องสื่อสารเชิงรุกเพื่อสร้างความเข้าใจองค์กรตำรวจให้เกิดขึ้นให้จงได้ อย่าทำแต่เพียงพูดว่า "ท่านไม่เป็นตำรวจ ท่านพัฒนาตำรวจไม่ได้หรอกครับ เพราะท่านเองยังไม่รู้ปัญหาของตำรวจเลย” อย่าลืมว่าผู้ที่สร้างมวลมหาประชาชนให้เข้าใจและยอมรับได้อย่างแท้จริงคือผู้ที่มีอำนาจตัวจริง(ย้ำว่ามวลมหาประชาชนจริงๆ ที่เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ) ดังนั้น หากตำรวจอยากให้ประชาชนเข้าใจตำรวจจงลงมือทำเดี๋ยวนี้!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น