กลับบ้าน
การปฏิบัติภารกิจของพวกเรานั้นแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อย ร้อน และไม่ค่อยสบายตัวอยู่บ้างด้วยสภาพอากาศที่พวกเราไม่ค่อยเคยชินกับกรุงเทพวกันนักก็ตาม แต่พวกเราก็ไม่เคยย่อท้อหรือหวั่นไหวต่อความยากลำบากและอุปสรรคใดๆ พวกเราต่างทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลังความสามารถให้สมกับที่ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ แต่ถึงอย่างไรก็ดีที่พวกเรารอคอยก็คือวันกลับบ้านครับผม อยากให้ถึงไวๆ จังเลย สำหรับการไปอยู่วันแรกๆ ค่อนข้างเชื่องช้าออกสักหน่อยแต่วันต่อๆ มาก็มีความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปค่อนข้างเร็วแล้ว
แต่พวกเราก็คอยวันกลับกันอยู่ดี่นั่นแหละ
และแล้ววันนั้นก็มาถึงนั่นก็คือวันที่ 26 เมษายนครับ วันนี้ตามกำหนดการ (ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงซึ่งทุกคนภาวนาว่าขออย่าให้มีอะไรเปลี่ยนเลย สาธุ) พวกเราจะเสร็จสิ้นภารกิจในเวลา 16.00 น.เพราะจะต้องไปเข้าจุดปฏิบัติหน้าที่หลัก 3 จุดที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้ทุกคน (ต้องใช้คำนี้ครับ ทุกคนจริงๆ) เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เตรียมมาเสร็จสิ้นก่อนไก่โห่แน่ะครับ ขยันจริงๆ พอถึงเวลาเข้าจุดก็ไปทำหน้าที่กัน แต่หลายๆ คน (ไม่ใช่ทุกคนแล้วครับ แต่ก็เกือบทั้งหมดนั่นแหละ) บอกว่าทำไมวันนี้ที่วันก่อนๆ เวลาผ่านไปค่อนข้างเร็วทำไมเข็มนาฬิกาจึงเดินช้าจังเลย ครั้นจะหมุนเข็มให้ถึงเวลา 16 นาฬิกาเอง โลกก็ไม่ได้หมุนตามเข็มเร็วๆ แบบนั้นไปด้วยก็เลยไม่ทำ รอเวลาอย่างใจจดใจจ่อ
แล้วเวลานั้นก็มาถึงจนได้ 16.00 น.ครับ 16.00 น.ของวันที่ 26 เมษายน 2553 พวกเราจำกันแม่นมาก เฮ้อ เสร็จสิ้นภารกิจกันแล้วนี่ จะได้กลับบ้านแล้ว ไชโย้ พรุ่งนี้จะได้เห็นหน้าลูกหน้าเมียหน้า… ดีใจกันยกใหญ่เลยครับ แต่ก็ออกจะหวั่นๆ อีกนิดไม่ได้นั่นก็คือ "ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"
แล้วผู้บังคับบัญชาก็(แกล้งทำเป็น)อำพวกเราซะอีกเมื่อถูกถามว่า "นายมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมครับวันนี้" คำตอบก็คือ "ไม่รู้เหมือนกัน หมู่เฮา" เฮ้อ พูดไม่พูดเปล่าเล่นทำเป็นปั้นหน้าเคร่งขรึมเหมือนใช้ความคิดอะไรซักอย่าง พวกเราก็ไม่กล้าถามต่อรอลุ้นอย่างเดียวว่างั้นเถอะ
"กองร้อยที่ 3 ทั้งหมดฟังทางนี้" เสียงผู้บังคับบัญชาเอ่ยขึ้น
"เพี้ยง เจ้าประคู้น ขอให้นายพูดคำว่า "หมู่เฮา ปิ๊กบ้าน" ทีเทอะ" นี่พวกเราคิดในใจกันแบบนี้จริงๆ
"หมู่เฮา มีข่าวร้าย" นายพูดต่อ ทำให้พวกเราหน้ามุ่ยกันหมดเลย
"ข่าวร้ายก็คือ……." แน่ะ หยุดไปซะงั้นแหละ พูดต่อซิ่ครับนาย เอ้า เป็นไงเป็นกันร้ายก็ร้าย อยู่ต่อก็อยู่ต่อ บ่เป็นหยัง "ปิ๊กบ้าน" นายพูดคำหลังอย่างเสียงดังฟังชัดพวกเราได้ยินกันถ้วนหน้า ทีนี้จากคนที่หน้ามุ่ย หน้าหมองกลับกลายเป็นหน้าขึ้นมาทันทีเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่ปรเมษฐ์ที่อยู่ที่กรุงเทพงวดนี้ไม่ใช่ดำนะครับ เขียวเลยละ พี่ปรเมษฐ์คนหน้าเขียวเป็นหน้าขาวใสขี้นมาได้ไงไม่รู้
"เฮ้ ไชโย้ๆๆๆๆๆ" นี่พวกเราตะโกนขึ้นมาเกือบจะพร้อมๆ กัน
"เอ้า บ่อยากปิ๊กก๊ะ" นายพูด "ถ้าอยากปิ๊กก็ให้เก็บของขึ้นรถ"
แหม พูดแบบนี้มีรึที่จะมีใครไม่อยากปิ๊ก ก็แน่ซิ่ครับ พวกเราต่างกระวีกระวาดเก็บข้าวของที่จัดไว้แล้วขึ้นรถตามที่เจ้าหน้าที่จัดไว้เสร็จอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มก็ไม่ปาน แป๊บเดียวเองเสร็จแล้ว บางคนที่เคยเชื่องช้าอืดอาดวันนี้กลับเร็วกว่าเพื่อนก็มี เอ้า ให้มันได้ยังงี้ซิ่
เมื่อเก็บข้าวของขึ้นรถเสร็จแล้วผู้บังคับบัญชาเรียกรวมแถวอีกครั้งซึ่งก่อนที่จะชี้แจงอะไรนั้นพวกเราต่างโม้และคุยกันโขมงโฉงเฉง บางคนเอาของดีมาอวดเพื่อน บางคนโทรศัพท์บอกลูกเมีย บางคนถือโอกาสนี้กินของลองท้อง บางคนอ่านหนังสือพิมพ์ว่ามีข่าวของเราบ้างหรือเปล่า แต่มีอยู่คนหนึ่ง แปลกแฮะ ไม่อยากกลับ คิดถึงกรุงเทพว่างั้นเถอะ
อีกแป๊บหนึ่งผู้บังคับบัญชามาถึงแล้วแจ้งแผนการเดินทางครั้งนี้เสร็จแล้วพวกเราก็เดินทางจากกรุงเทพมหานครกลับเจียงฮายอย่างมีความสุข(ที่สุดในโลก) จนกระทั่งเวลาประมาณ 06.30 น.ของวันที่ 27 เมษายนก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
ครับ นี่ก็คือส่วนหนึ่งของภารกิจและประสบการณ์ของพวกเรา กองร้อยควบคุมฝูงชนกองร้อยที่ 3 จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น