ข้อเสนอให้ยุบ ก.ต.ช.-ก.ตร.ไป และผุด
"สภากิจการตำรวจแห่งชาติ" ทำหน้าที่แทน
เกิดคำถามในหมู่แวดวงตำรวจว่าจะกลายเป็นการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจหรือไม่
และมั่นใจได้อย่างไรว่า ท้ายที่สุดแล้วตำรวจจะไม่ถูกแทรกแซง
พลันที่ "วันชัย สอนศิริ" ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ
(กมธ.) ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
ออกมาเปิดเผยมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งเตรียมที่จะเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติในวันที่ ๑๕-๑๗ ธันวาคม นี้ โดยมีสาระสำคัญคือ เสนอให้ยกเลิกคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
หรือ ก.ตร. ยกเลิกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้มี
"สภากิจการตำรวจแห่งชาติ" ที่มีกรรมการประกอบด้วย
หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวกับความมั่นคง และหัวหน้าส่วนราชการกระบวนการยุติธรรม
กรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ผ่านการคัดเลือกจาก ส.ส.และ ส.ว.
เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของตำรวจแทน
พร้อมทั้งเสนอให้กระจายอำนาจการบริหารจากเดิมที่รวมศูนย์ไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เปลี่ยนเป็น ตำรวจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยให้มีหน้าที่และการบริหารงานตามที่กฎหมายบัญญัติ
พร้อมทั้งให้ "ประชาชน" เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ แต่งตั้ง
โยกย้าย หรือถอดถอนตำรวจ รวมทั้งยังเสนอให้จัดโครงสร้างองค์กรตำรวจ
รวมถึงปรับเปลี่ยนหน่วยงานให้มีความเหมาะสม โดยให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับงานด้านใด
ให้โอนไปขึ้นตรงกับหน่วยงานนั้น เช่น ตำรวจป่าไม้ ไปอยู่กับกรมป่าไม้ ตำรวจรถไฟ
ไปอยู่กับการรถไฟแห่งประเทศไทย และตำรวจท่องเที่ยว
ให้ไปอยู่กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น
ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับองค์กรตำรวจว่าแนวทางนี้จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงหรือไม่
ทั้งนี้ หากข้อเสนอดังกล่าวผ่านสภาปฏิรูปและมีผลบังคับใช้
เท่ากับว่า โครงสร้างของตำรวจ จะเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่
ซึ่งจะกระทบกับโครงสร้างภาพรวมขององค์กรตำรวจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยกตัวอย่างกรณีการเสนอให้ยกเลิก ก.ตร.
ซึ่งปัจจุบันเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลมาจาก
พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่กำหนดให้มีหน่วยงานนี้ขับเคลื่อนองค์กร
เพื่อให้เป็นไปตามทิศทางของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช.
โครงสร้างเดิมของ ก.ต.ช. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ เดิมมีกรรมการ
๑๑ คน ประกอบด้วย ๑.นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ๒.รมว.มหาดไทย
๓.รมว.ยุติธรรม ๔.ปลัดมหาดไทย ๕.ปลัดยุติธรรม ๖.เลขาธิการ สมช. ๗.ผบ.ตร. ๘.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๙.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านงบประมาณ ๑๐.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาองค์กร
และ ๑๑.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวางแผน/บริหารจัดการ
แต่เมื่อเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
มีคำสั่งที่ ๘๘/๒๕๕๗ ให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ก.ต.ช. ใหม่
ให้เหลือคณะกรรมการเพียง ๙ คน โดยให้ตัด รมว.ยุติธรรม รมว.มหาดไทย
และผู้ทรงคุณวุฒิออก ๒ คน โดยให้เพิ่ม ปลัดกลาโหม และรองนายกรัฐมนตรี
ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย มาแทน ส่วนสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิที่เหลือเพียง ๒ คน
ต้องผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภา
ขณะที่ ก.ตร.ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ มีกรรมการ ๒๒ คน
มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กรรมการ ประกอบด้วย ผบ.ตร. เลขาธิการก.พ. รองผบ.ตร. ๗ คน
จเรตำรวจแห่งชาติ
ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นอดีตตำรวจระดับผบช.ขึ้นไปที่เกษียณอายุราชการเกิน ๑ ปี ๕ คน
และผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านเศรษฐศาสตร์
ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ อาชญาวิทยา งานยุติธรรม รวม ๖ คน แต่คำสั่ง
คสช.ปรับเหลือกรรมการเพียง ๑๓ คน โดยปรับลดสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิลงให้เหลือเพียง
๒ คน ซึ่งต้องผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภา
กรรมการทั้ง ๒ ชุดมีบทบาทในการบริหารงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก
โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย
ที่ผ่านมาว่ากันว่าเมื่อโครงสร้างนี้มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องทำให้องค์กรตำรวจถูกแทรกแซง
การที่ตำรวจจะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้นต้องได้รับความเห็นชอบหรือการสนับสนุนจากฝ่ายการเมือง
กลายเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ตำรวจถูกครอบงำ
หากข้อเสนอดังกล่าวผ่านสภาปฏิรูปฯ จะทำให้ ก.ต.ช. และก.ตร.หายไป
แต่จะมี "สภากิจการตำรวจแห่งชาติ" เข้ามาทำหน้าที่แทน
กลายเป็นคำถามในหมู่แวดวงตำรวจว่า จะกลายเป็นการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจหรือไม่
และจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ท้ายที่สุดแล้วตำรวจจะไม่ถูกแทรกแซง
ส่วนประเด็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยถึงขั้นยุบส่วนบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากเดิมมีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
มีโครงสร้างบริหารควบคุมสั่งการ ระดับกองบัญชาการ ไล่ลงไปยังกองบังคับการ
กองกำกับการ และสถานีตำรวจ แต่แนวคิดใหม่ให้เปลี่ยนเป็น ตำรวจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค
และส่วนท้องถิ่น มีการพูดไปถึงให้ตำรวจไปสังกัดกับหน่วยงานปกครองท้องถิ่น
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงเกิดคำถามตามมาว่า
ตำรวจจะไม่ถูกนักการเมืองท้องถิ่นแทรกแซงหรือ หลายรายแสดงความเป็นห่วงไปว่า
ตำรวจจะกลายเป็นกลไกหนึ่งที่เสริมให้กลุ่มคนเหล่านั้นยิ่งมีอิทธิพลหรือไม่
ส่วนข้อเสนอให้จัดโครงสร้างองค์กรตำรวจ โดยให้ปรับเปลี่ยนหน่วยงานให้มีความเหมาะสม
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามความคิดเห็นไปยังตำรวจซึ่งปฏิบัติงานอยู่ตามหน่วยงานที่มีชื่อปรากฏเสนอให้ปรับย้ายหลายรายให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า
ไม่น่าจะมีปัญหา
เนื่องจากปัจจุบันทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนั้นๆ อยู่แล้ว อย่างเช่นกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว
ที่มีการเสนอให้ย้ายไปสังกัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
พล.ต.ต.อภิชัย ธิอามาตย์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว
แสดงความเห็นว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานบ้าง
แต่หากการปฏิรูปนี้เกิดขึ้นจริง และประชาชนได้รับประโยชน์
ตำรวจทุกคนก็พร้อมปฏิบัติ
"ที่ผ่านมาตำรวจท่องเที่ยวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และมีความผูกพันมากกว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งการใช้งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์
รวมทั้งเงินเดือน และติดต่อประสานงานกันหลายด้าน
ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีหน้าที่ปกครอง บังคับบัญชา แต่งตั้งโยกย้าย
ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีเพราะตำรวจอาจไม่ต้องไปพะวงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่หากโอนย้ายไปยังกระทรวงก็คงต้องดูที่ข้อกฎหมายว่า
ผู้ปฏิบัติที่สามารถตรวจค้นจับกุม ต้องเป็นเจ้าพนักงาน หรือไม่
ส่วนข้อเสียถ้าหากตัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติออก การประสานงานก็อาจจะติดขัดบ้าง"
พล.ต.ต.อภิชัย กล่าว
กว่าครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา องค์กรตำรวจ
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างมาเป็นระยะ ตั้งแต่สมัยเป็นกรมตำรวจ
เปลี่ยนมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะที่การปรับเปลี่ยนหน่วยงานโดยการย้ายโอนสังกัดก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างเช่น
การย้ายโอนเทศกิจ จากเดิมสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลไปสังกัด กทม.
หรือเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กรณีการย้ายโอนตำรวจดับเพลิงไปสังกัด กทม.
ก็เกิดขึ้นเช่นกัน
ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20141208/197299.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น