วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เยี่ยมนักเรียน (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕)

งานหนึ่งซึ่งผมถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งและจะกระทำเสมอหากมีโอกาสหรือเวลาก็คือการออกพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตามเพราะพี่น้องทุกคนเป็นบุคคลสำคัญของผมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวใจหลักของหน่วยงานทุกหน่วยทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งจะขาดเสียมิได้เปรียบเสมือนปลาขาดน้ำไม่ได้ฉันใด หน่วยงานก็ขาดพี่น้องประชาชนไม่ได้ฉันใด ตำรวจก็เช่นกันเนื่องจากเราต้องทำงานกับพี่น้องตลอด ๒๔ ชั่วโมง ต่างคนต่างต้องพึ่้งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งหรือวันใดก็วันหนึ่ง หากเรารู้จักคุ้นเคย มีปฏิสัมพันธ์หรือมิตรภาพที่ดีต่อกันแล้วการทำงานจะง่ายขึ้นโดยมีพี่น้องเป็นกำลังใหญ่ให้

ตำรวจโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจโรงพักหากคนใดหรือโรงพักใดไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องในพื้นที่แล้วเชื่อเหลือเกินว่าการทำงานตำรวจโรงพักนั้น "เหนื่อย" แน่ เพราะอะไร ก็เพราะไม่มีกำลังใหญ่ให้อย่างที่ผมบอกข้างต้นนั่นแหละ ตำรวจทำอะไรก็ทำไปพี่น้องประชาชนไม่สนใจเพราะตำรวจไม่เคยไปสนใจเขาก่อน แบบนี้จะไปโทษใครได้ต้องโทษตำรวจอย่างเดียว ดีไม่ดีเขาจะสมน้ำหน้าเอาด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นกรณีตรงข้ามผมว่าสบายๆ แบบเบิร์ดๆ แน่ตำรวจโรงพักนั้น เพราะพี่น้องจะคอยเป็นหูเป็นตาแจ้งข้อมูลเบาะแสการกระทำผิดให้ อีกทั้งพี่น้องก็จะได้ระแวดระวังภัยเบื้องต้นด้วยพี่น้องเองตามที่เรา "ตำรวจโรงพัก" ไปแนะนำให้ความรู้ความเข้าใจระหว่างพบปะเยี่ยมหรือพูดคุยในรูปแบบต่างๆ

ผมใช้หลักการนี้มาเป็นแนวทางในการทำงานตลอด แล้วก็รวมถึงอย่างที่บอกข้างต้นนั่นแหละว่าหากมีเวลาหรือโอกาสเมื่อไรจะออกไปเยี่ยมพี่น้องเสมอไม่ว่าจะวัยไหนหรือที่ไหน อย่างเช่นวันนี้ซึ่งผมกับเจ้าหน้าที่สายตรวจรถยนต์ (จ.ส.ต.สริทธิ์พล จันทร์อิฐ) ออกพบปะพี่น้องโดยเน้นไปที่วัยเด็กๆ หรือนักเรียนเป็นหลัก



ภาพด้านล่างนี้เป็นช่วงที่ไปติดต่อประสานงานโรงพยาบาลเวียงเชียงรุ้งแล้วพบเด็กๆ กลุ่มนี้ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้งกำลังไปให้คุณหมอตรวจฟันอยู่ก็เลยโอภา่ปราศัยกันตามธรรมเนีัยมของคน(ละ)วัยเดียวกัน (ฮา)



เสร็จแล้วไปเยี่ยมเยียนเด็กโตขึ้นมาหน่อยที่โรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคมซึ่งเปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ ๑-๖ ตอนนั้นโรงเรียนเลิกแล้วเด็กๆ ส่วนหนึ่งกำลังรอรถหรือพ่อแม่ผู้ปกครองมารับอยู่



การพูดคุยกับเด็กๆ นี่หลายคนอาจจะมองว่า "ยาก" เพราะคนละวัย สื่อกันคนละแบบ ทำให้มองกันคนละมุม แต่ผมว่้าไม่ใช่ จริงๆ แล้วก็คนละวัย รุ่นพ่อกัีบรุ่นลูก ไม่มีปัญหาครับ เราก็ทำตัวแบบ "คนวัียเดียวกัน" ซะก็สิ้นเรื่อง เอ้า แล้วทำยังไงล่ะ ..ขอติดไว้ก่อน เอาไว้วันหลังว่างๆ ผมจะนำกลเม็ดเคล็ดลับมาบอกให้ฟัง ไม่ยากกกกกกกกก เชื่อเถอะ ง้ายง่ายยยยยยยยยยย



การพูดคุยกันตามประสา "คนวัยเดียวกัน" วันนี้ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป "มีการบ้านไหม , ทำเสร็จแล้วเหรอ อ้าว เสร็จแล้วแล้วทำที่ไหน , ทำที่โรงเรียนเจ๊า , ผมก็พูดว่า "แบบนี้ไม่ใช่การบ้านแล้ว เป็นการโรงเรียน การบ้านต้องทำที่บ้านถึงจะถูกใช่้ไหม" หรือไม่ก็อำเด็กบางคนที่ทำการบ้านที่โรงเรียนเสร็จแล้วว่า "รู้ไหม เมื่อกี๊น่ะเพื่อนๆ คนหนึ่งเขาก็ทำการบ้านที่โรงเรียนเสร็จแล้วเหมือนกัน ..เหตุผลที่ต้องทำการบ้านที่โรงเรียนเพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเก่งกว่าทำเสร็จก่อนแล้วก็ "ขอลอก" ซะเลย เล่นเอาฮากันทั้งวงเลยทีเดียว




ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างครับที่คุยกับเด็กๆ เขารวมทั้งแทรกสิ่งละอันพันละน้อยที่น่า่จะเกิดประโยชน์เข้าไปด้วย เช่น อย่าไปยุ่งกับยาเสพติดนะ มันไม่ดี อนาคตอันสดใสของเราที่หวังไว้จะมืดมน ดีไม่ดีติดคุกติดตะรางได้ เพื่อนๆ ที่จะคบก็ควรเลือกคนแต่คนดีๆ คนไม่ดีไม่ต้องคบ แล้วก็ถ้ามีอะไรดีๆ อย่างเช่น ข่าวสารข้อมูล เบาะแสการกระทำผิดของคนร้ายอย่าลืมแจ้งตำรวจด้วยนะลูก อะไรประมาณนี้




เสร็จจากการพบปะนักเรียนโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคมแล้วก็ไปที่โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้งซึ่งตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรของเรา (ด.ต.นเรศ สุขยิ่ง) กำลังอำนวยความสะดวกด้านการจราจรอยู่ แล้วก็เหมือนเดิมครับเข้าไปทักทายพูดคุยกับเด็กๆ สักพักหนึ่งก่อนที่จะเขาจะเดินทางกลับบ้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น