วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สุภาพสตรีสีกากี 'ปนัดดา ชำนาญสุข' (๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖)

ถ้ายังจำกันได้อาจารย์สาวจากรั้วนนทรีคนนี้ คือเจ้าของเรื่อง "สลัดผ้าไหม ไปเป็นเด็กแว้น" นักวิจัยสาวโสดที่ลงไปเป็น "พวกกัน" กับเยาวชนนักซิ่งด้วยการไปซิ่งด้วย ถอดผ้าไหมพลิ้วๆ ไหวๆ ที่เคยชอบไปสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น เช่าบ้านอยู่กับเด็กแว้น จนขยับขึ้นเป็น "บอส" หรือหัวหน้าซุ้ม พร้อมกับงานวิจัยที่ชวนสังคมไทยมองนักบิดรุ่นเยาว์ในมุมกลับ 


มาวันนี้ สุภาพสตรีคนเดียวกัน ผันตัวเองไปสู่โลกสีกากี ใช้เวลานานกว่า ๓ ปีในการทำความรู้จักผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่เป็นการทำความรู้จักที่เริ่มต้นจากความเกลียด 
เพราะเป็นลูกทหาร เติบโตมาในค่ายทหาร ด.ญ.ปนัดดา ชำนาญสุข ในตอนนั้นจึงถูกฝังหัวมาตลอดว่า ตำรวจเตี้ยต่ำกว่าทหาร หน้าที่ราชการพร้อมจะบกพร่องได้ด้วยผลประโยชน์ 

โตมาได้จับพลัดจับผลูไปอยู่แก็งค์ซิ่ง ขับรถวิ่งหนีตำรวจนับครั้งไม่ถ้วน จนวันหนึ่งบังเอิญต้องเข้าไปช่วยงาน ความสนใจบางอย่างในกลุ่มคนสีกากีไปกระตุ้นต่อมความใคร่รู้ของอาจารย์สาวเข้า ปฏิบัติการครั้งใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น

งานแรก ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข  คือ พลขับให้สารวัตรลงพื้นที่ ก่อนจะเขยิบมาสืบสวน สอบสวนผู้ต้องหา ล่อซื้อจับยาบ้า เป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจหลายนาย กระทั่งวันนี้มีคนเสนอให้โอนย้ายไปเป็นตำรวจ แต่เธอปฏิเสธ     

เวลากว่า ๓ ปีที่อาจารย์สาวกินนอนอยู่ในห้องสืบสวน ทำให้เธอได้ "สืบสวน" ชีวิต การงาน และความรู้สึกของตำรวจไปในตัว

จากความเกลียดเป็นทุนเดิม จึงคลี่คลายมาเป็น "ความเข้าใจแต่ไม่ได้เข้าข้าง" อย่างที่เธอจะเล่าในบรรทัดถัดไป   

ความเกลียดสมัยเด็กมาจากอะไร
คนสมัยก่อน หรือทหาร เขาจะไม่ชอบคนจีน แล้วเอาไปผูกโยงกับตำรวจ เช่น ตำรวจมีแต่รีดไถ ไม่ช่วยประชาชน แล้วก็ไม่กล้ากับทหารด้วย เวลาที่เราเห็นพ่อขับรถผิดกฎหมาย ฝ่าไฟแดง ตำรวจพอรู้ว่าเป็นทหาร ก็ปล่อยไป เราเป็นเด็ก เราอยู่ในโลกของการสังเกต เราก็เออ จริง ตำรวจมีเกียรติไม่เท่าทหาร กลัวทหาร 

โตขึ้นมา ความรู้สึกว่าตำรวจกดขี่ ขูดรีด รีดไถ ยังมี แต่ไม่เคยโดนกับตัว (หัวเราะ) จนรู้สึกว่าเกลียด จนกระทั่งมาทำงานวิจัยเรื่องเด็กซิ่ง ซ่า เซ็กส์ เราต้องสัมภาษณ์คนทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เราก็เลี่ยงไม่ได้ แต่จะเข้าไปสัมภาษณ์ตำรวจเป็นกลุ่มสุดท้าย โดยเข้าไปคุยกับผู้การ ว่าตำรวจทำงานอะไรบ้าง
นี่เป็นที่มาที่ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่า องค์กรตำรวจเป็นอย่างนี้ ตอนนั้นผู้การทำงานวิจัยประกอบการเรียน วปอ.ท่านทำเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ให้เราช่วยเก็บข้อมูล ได้สัมภาษณ์ตำรวจเยอะมาก ทำให้เริ่มเข้าใจวัฒนธรรมการทำงาน พอเข้าใจก็เริ่มสนใจ 

มีจุดอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เคยคิดมามันอาจจะไม่ถูก
พอเราเริ่มคุ้น ท่านผู้การก็ให้ตำรวจมานั่งฟังผลงานวิจัยของเรา  เขาให้สายสืบมือฉมัง มานั่งฟัง ตำรวจกลุ่มนี้เป็นม้าพยศ จะไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะนักวิจัยผู้หญิงดูหน่อมแน้ม พอเราขึ้นเวทีเราก็เริ่มต้นด้วยการร้องไห้เลย เพราะอินกับเรื่องเด็กซิ่งว่าถูกกระทำมาก แล้วก็เห็นสายตาแบบเยาะเย้ยจากผู้ฟังที่เป็นตำรวจ เราก็เล่าเนื้อหาที่เรามั่นใจว่ามันลึกซึ้ง แต่ขณะเดียวกันเราก็ตั้งใจว่าถ้าเราลงจากเวที จะต้องไปคุยกับคนกลุ่มนี้
พอเราเข้าไปคุยกับเขา เขาพูดมาคำแรกเลยว่าอาจารย์เข้าข้างเด็กเกินไปหรือเปล่า ผมเจอมาเยอะแล้ว เขาเป็นสารวัตรสืบ เลยเป็นที่มาให้เราเข้าไปคุยในห้องสืบ เพื่อไปคุยกับสารวัตรคนนี้ว่า ที่เขาบอกทำมาเยอะแล้ว เขาทำอะไรบ้าง เผื่อเป็นข้อมูลเชิงลึกให้เราสำหรับงานวิจัย 

บรรยากาศการทำงานในห้องสืบ เขาจะนัดเราตอนกลางคืน เขาก็นั่งสอบผู้ต้องหา บางทีมีเคสเข้ามาเราก็ติดรถเขาไป ไปออกพื้นที่ ไปดูการทำงาน  เนื่องจากเรามีประสบการณ์กับกลุ่มแก๊งค์มาก่อน มันก็เลยสะดวกในการติดตาม พอเริ่มคุ้นเคยก็เริ่มทำตัวเป็นพลขับ ไปสำรวจพื้นที่กัน 

ความยากในการเข้าสู่โลกตำรวจอยู่ตรงไหน
ตอนที่เราเข้าไปอยู่ในโลกวัยรุ่น เราก็โดนวัยรุ่นหลอก ใช้เหลี่ยมคมพิสูจน์ลองใจ ในกลุ่มตำรวจ เขาก็ไม่ได้เปิดใจกับเราเสียทีเดียว มีบทพิสูจน์ บทลองใจ มีการสงวนท่าที 

ต้องเปลี่ยนตัวเองอย่างไรบ้าง
เข้าสู่โลกวัยรุ่นใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น พอเข้าโลกตำรวจ เราใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืดที่พร้อมจะลงภาคสนามกับเขา ภาษาท่าทางเหมือนผู้ชายเลย มึงมาพาโวย ไม่แรงมากแต่ก็ไม่หวานเรียบร้อย  กูมึงน้อยครั้ง  ภาษาไม่ได้หยาบแต่แรง ใช้ภาษาเดียวกับตำรวจ คือตรงๆ ไม่มีมารยาทใดๆ ทั้งสิ้น 

โดนพิสูจน์หรือลองใจอย่างไร
มีสิ่งหนึ่งนักวิจัยควรระวัง และต้องก้าวข้ามให้พ้นตรงนี้ คือเราทำงานในลักษณะของผู้ชาย ต้องทำให้เขามองเราในเนื้องานที่เป็นผู้ชายให้ได้ ไม่ให้เอาความเป็นหญิงมาจุกจิกกับเนื้องาน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราพักที่โรงแรม ตำรวจที่ทำงานด้วยกันโทรมาบอกว่าเสียการพนันหมดตัว ไม่มีเงิน กลับบ้านไม่ได้ เราเลยนัดให้มาพบที่ลอบบี้ข้างล่าง เขามาแบบโทรมมาก ตอนนั้นฝนตก เราเลยบอกว่าจะเปิดห้องให้ พอดีวันนั้นห้องเต็มหมด  เลยให้เขาไปนอนห้องเรา แล้วเราก็ออกไปข้างนอกซื้ออาหารมาให้ทาน ตอนนั้นเกือบตีสอง เสร็จแล้วเขาก็นอน เราก็ออกไปเร่ร่อนตามสไตล์ เช้ามาเขาก็ตื่น โทรมาถามว่าเราไปไหน เราก็บอกว่า ขับรถออกไปตรวจพื้นที่
 
ตั้งแต่นั้น ตำรวจคนนี้ก็กลายเป็นคนที่ให้ข้อมูลเชิงลึก สอนโลกมืด โลกสีเทา โลกสว่างที่เขาทำกัน

การเริ่มต้นที่ทีมสืบถือว่ายากที่สุดไหม
(พยักหน้า) เขาเป็นม้าพยศ คนมีฝีมือเท่านั้นถึงจะขึ้นไปขี่ได้ แต่พอขี่ได้แล้วมันก็จะเป็นคู่ใจที่เราจะทำงานร่วมได้ ต้องใช้ใจแลกใจ เราทำงานกินอยู่หลับนอนในห้องสืบ ขณะที่สารวัตรสืบนอนโซฟา เรานอนกับพื้น ตำรวจผู้ชายนอนกันระเกะระกะ อาบน้ำเราก็อาบในห้องสืบ วิถีชีวิตเราอยู่ที่นั่น เราทำตั้งแต่เสมียนสืบ จดข้อมูล ออกพื้นที่ บางทีไปบ่อกุ้ง จับยาเสพติด บางทีมันอันนตรายมากเพราะมันเป็นพื้นที่โล่งๆ เราก็ไม่ได้แสดงความหวาดหวั่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นบทพิสูจน์

จากเดิมที่รู้สึกเกลียด ก็คลี่คลายเป็นความเข้าใจ แต่ไม่เข้าข้าง ตำรวจก็มีทั้งมุมบวก มุมเทา และ มุมดำ แต่ระบบเป็นตัวหล่อหลอมพฤติกรรมที่ไม่ดี ถ้าเราไปอยู่ในโลกของตำรวจ เราก็จะเป็นอย่างนั้น

จุดประสงค์ในการเข้ามาเป็นตำรวจในปัจจุบัน คืออะไร มุ่งมั่นหรือมีเหตุผลอื่นที่สำคัญกว่า
เอาเฉพาะโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เด็กที่เข้ามาสมัครเรียนเป็นระดับหัวกะทิทั้งนั้น คือเด็กผู้ชายถ้าไม่ไปวิศวะ แพทย์ ก็จะชอบอะไรที่ท้าทาย งานตำรวจเป็นงานท้าทาย ไม่ใช่รูทีน เป็นงานที่ต้องใช้ศักยภาพเชิงความคิดสูง ตำรวจจึงเป็นกลุ่มคนที่ฉลาดมากๆ ยิ่งเข้าไปอยู่ใกล้ๆ จะเห็นวิธีการปรับตัว เล่ห์เหลี่ยมของโจรแอดวานซ์ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตำรวจต้องพัฒนากระบวนการทางปัญญา

ขณะเดียวกัน อีกกลุ่มเข้ามาพร้อมค่านิยมว่าเป็นตำรวจจะรวยกว่าอาชีพอื่นๆ แต่ในมุมของความเครียด อดทน ในการเป็นตำรวจว่ามีมากแค่ไหน อันนี้ไม่ถูกเผยแพร่ให้กับเยาวชนหรือเด็กเยาวชนที่จะมาเป็นตำรวจเลย

พอมาเจอเนื้องานจริงๆ ซึ่งต่างจากที่คิด ผลที่ตามมาคือ
โรงเรียนนายร้อย อาจต้องเรียกว่ากรุ คือหน่วยรวมคนที่ไม่สามารถอยู่ในหน่วยปฏิบัติการได้แล้ว เลยไปอยู่โรงเรียนนายร้อย

สมัยก่อน คนเข้าโรงเรียนนายร้อยก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู คือเข้าไปเพื่อให้ได้ตำแหน่ง พอได้ตำแหน่งเสร็จก็ออกมา คือ เป็นแค่ทางผ่าน


การที่อาจารย์เอาประสบการณ์ตรงในพื้นที่มาสอนน้อยมาก จะเป็นสถานที่ที่ครูเหมือนอยู่บนหอคอย ไม่ค่อยเข้าใจวีถีที่เปลี่ยนแปลงไปในทางปฏิบัติ

เมื่อนักเรียนนายร้อยจบมา เขาก็จะได้แต่ภาพลอยๆ ความรู้เชิงปฏิบัติการมีแค่ระดับหนึ่งซึ่งทำงานได้น้อยมาก 
มาลงพื้นที่ เขาก็จะได้พี่เลี้ยง  พี่เลี้ยงชั้นประทวนที่คอยสอนโลกจริงๆ คือ โลกเทาหรือดำ  เขาจะห่างจากผู้บังคับบัญชาหรือรุ่นพี่ชั้นสัญญาบัตร แต่จะไปเรียนรู้จากพี่เลี้ยง ทำให้เกิดกระบวนการคิดเอง ทำเอง ลองผิดลองถูก และมีแนวโน้มที่จะไปโลกเทา โลกมืดสูง

กลุ่มพี่เลี้ยง จะสอนเขาเรื่องแหล่งผลประโยชน์ เช่น วิธีการให้ได้มา การหาเงินส่งนาย หรือวิธีที่ปฏิบัติต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงวิถีชีวิตที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนัน ผลประโยชน์ต่างๆ แล้วมันจะหลุดลอยไปเลย เพราะมีแรงจูงใจมาก

เพราะอะไรตำรวจชั้นประทวน (นายดาบลงไป) จึงเป็นอย่างนั้น
โลกของชั้นประทวนกับสัญญาบัตรจะต่างกัน คือ ชั้นประทวนจะอยู่กับที่ ไม่มีโยกย้าย จะใกล้ชิดกับชุมชน มีวัฒนธรรมการทำงานที่ฝังรากลึก แต่ระบบของสัญญาบัตรอยู่ ๒-๓ ปีก็ย้ายไปและย้ายไปอยู่โรงพักชั้นดี คือ มีผลประโยชน์เยอะ

ชั้นประทวนจะเรียนรู้ว่า นายมาเดี๋ยวก็ไป จะไปหวังพึ่งนายมากไม่ได้ แค่ดูแลนายให้ดีหน่อยไม่มากดขี่ขูดรีด หรือเล่นงานก็พอแล้ว จึงส่งผลต่อการทำงานฉาบฉวย ไม่มุ่งมั่น หรือเกียร์ว่างกับการทำงานไปเลย กับอีกประเภทคือ เก็บเงินตามบ่อน เฝ้าร้านทอง คือ ปฎิบัติภารกิจที่ตัวเองได้รับมอบหมาย และได้ค่าจ้างพิเศษ งานประจำทำให้มันพอผ่านไป


ด้วยความที่อยู่ในพื้นที่นาน บางทีเขามีอำนาจต่อรองกับนาย ว่าจะเลื่อยขานาย ไม่ให้ข้อมูลนาย ไม่เก็บเงินส่งนาย รวมถึงเชิญนายทำธุรกิจในชุมชน เช่น ร้านอาหาร สถานบันเทิง นายเองก็ต้องลงมาด้วย เพราะเป็นคนเปิดตัวให้นาย เป็นฐานอำนาจอย่างหนึ่ง

แต่ความรู้สึกมั่นคงในการทำงานสูงกว่าระดับสัญญาบัตร ซึ่งพอถึงฤดูโยกย้าย ก็รู้สึกว่าใครจะมาเตะหรือเปล่า 

สัญญาบัตรก็จะมีแรงกดดันอีกอย่างหนึ่ง?
ใช่ค่ะ เครียดกันคนละแบบ ระบบตำรวจฟันธงได้เลย เขาไม่ได้เติบโตด้วยผลงาน ต่อให้ทำงานดีเด่นแค่ไหนก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าผลงานจะก้าวหน้า หรือเลื่อนขั้น น้อย(ลากเสียงยาว) มาก ระบบความก้าวหน้าของเขาผูกโยงว่าเขามีตั๋วจากใคร ตั๋วแข็งแค่ไหน มีเงินแค่ไหน มีแค่ ๒ อย่างนี้จริงๆ

ระบบตั๋วก็ผูกโยงกับระบบอุปถัมป์ คุณดูแลนักการเมืองก๊วนไหน หรือเป็นนักประสานสิบทิศดูแลได้ทุกก๊วนเลย  บางคนดูแลนาย ตามนายตลอด ...


น่าสงสารครอบครัว โดยเฉพาะชั้นสัญญาบัตร จะไม่ได้อยู่กับครอบครัว ครอบครัวอยู่กรุงเทพฯ ตำรวจส่วนใหญ่ไม่ให้ภรรยาทำงาน ให้ดูแลลูก ตัวเองอยู่ต่างจังหวัด ถ้าอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจ วันหยุดก็ไม่ได้กลับ ความอบอุ่นไม่มี คนช่วยคลายเครียดให้เขาน้อยมาก สุขภาพจิตไม่ดีเลย เป็นกลุ่มบุคคลที่น่าสงสารมาก คุณภาพชีวิตไม่ดี เหมือนหนูถีบจักรวิ่งๆๆ

ช่วงนี้(ประกาศโผแต่งตั้ง-โยกย้าย) มีระดับ ผกก.สารวัตร โทรมาว่า "อาจารย์ผมไม่คิดเลยว่าผมจะต้องมายืนอยู่บนจุดนี้" คือ จุดที่ไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นหรือไม่ได้ขึ้น นายกำลังจะไม่ให้เขาขึ้น เขาจะต้องวิ่งไปหาคนอื่น ไม่มีใครพูดว่าที่ฉันมายืนจุดนี้เพราะฉันทำงานหนัก เรื่องทำงานไม่ได้ถูกเอามาเป็นตัวชี้วัด

จากฝ่ายสืบสวน ก็มาทำงานต่อด้านยาเสพติด
กลุ่มนี้มี ๒ พวก พวกหนึ่งเน้นผลประโยชน์ เพราะมีสูงมาก กับอีกพวก เป็นพวกที่ทำงานเอามัน แนวบู๊ น่าสรรเสริญนะแต่ทำงานด้วยยากมาก เขาแสวงหาความสุขจากการทำงานจริงๆ พวกนี้มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จในหน้าทีการงาน เท่าที่รู้จักไม่มีสักคน อย่างดีก็แค่รองผู้การ 

แต่เขาก็ยอมรับในจุดนี้?
 
ใช่ สังเกตดูได้ว่าตำรวจที่โตขึ้นมาเป็นแถวหน้าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีแนวบู๊ มีแต่สายบุ๋นคือประนีประนอม นายเวร หรืองานอำนวยการ 

แล้วกลุ่มผลประโยชน์ในสายยาเสพติด เป็นกลุ่มไหน
ชั้นประทวน งานยาเสพติดมีผลประโยชน์ที่เก็บได้ง่าย เช่น ของกลาง ยาบ้า ๑๐๐ เม็ด ตัวผู้ต้องหาจะบอกเลยว่าผมขอ ๒๐ เม็ดได้ไหม เพราะตัวเขาได้ประโยชน์ ตำรวจเองก็ได้ประโยชน์อีก ๘๐  อาจจะไว้ใช้ต่องาน เพราะตำรวจไม่มีทุน เอาไว้ล่อซื้อ หรือเอาไว้เลี้ยงสาย นี่คือระบบการบริหารจัดการ

ถ้าบริหารจัดการได้ บางนายเอายาไปขาย แพร่หลายต่อกันไป เป็นเศรษฐกิจนอกระบบ แต่มันแรง ชั้นสัญญาบัตรไม่กล้าทำ

กรณียัดยา เท่าที่เคยเจอมีไหม เป็นอย่างไร
กฏหมายเรา ต้องมีของกลางและหลักฐาน แล้วผู้กระทำผิดจะไม่เอาหลักฐานเก็บไว้กับตัว ฉะนั้นการที่ตำรวจจะไปเอาตัวพร้อมหลักฐานมันยากมาก

จากประสบการณ์ที่ทำงานกับตำรวจ ส่วนใหญ่มีข้อมูลชัดเจนว่าคนนี้ขาย พอถึงที่สุดแล้ว เหลี่ยมจัดเหลือเกิน บางทีเราก็เห็นด้วยว่าเราก็ต้องจัดหลักฐานให้ จากประสบการณ์โอกาสผิดตัวน้อยมาก เพียงแต่ ณ ตอนนั้นไม่ได้มีหลักฐานอยู่ที่ตัวเค้า เท่านั้นเอง

แล้วการซ้อมผู้ต้องหา?
มันเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงาน กว่าจะจับได้ เราจะได้ยินความทุกข์จากผู้เสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตำรวจก็ต้องวางแผนเยอะมากกว่าจะได้ตัวมา พอได้ตัวมา โอ๊ย (เสียงสูง) เหลี่ยมต่างๆ ของผู้กระทำผิด เยอะมาก โดยเฉพาะคดียาเสพติด ปืน คดีร้ายแรงต่างๆ ผู้กระทำผิดไม่อินโนเซนส์ มีลีลา มีพาวเวอร์ที่จะมาทำอหังการ์หรือต่อรอง บางทีมาจากภาวะหมั่นเขี้ยว ซักๆๆๆ ไม่ตอบซักที เอาไปซักบึ้กนึง

การซ้อมไม่ใช่อย่างสมัยก่อนที่เอาไฟลน แต่เป็นเพราะอารมณ์ที่เหลืออด

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เอาพวกเขาเข้ามาในห้องสืบ เขาก็แอบเอายามาส่งและสูบในห้องสืบกัน ซักมาซักไปก็ยียวน เจออย่างนี้เราก็ป๊าบเข้าให้ เตะเข้าไปจนหงายเลย

จึงมีตำรวจน้ำดีที่สื่อมวลชนชอบกัน คือไม่ทำอะไร ลอยตัว ไม่ต้องถูกฟ้อง ไม่ถูกร้องเรียน ไม่มีปัญหาอะไรเลยประวัติขาวสะอาด 

เกียร์ว่าง?
ใช่ ทำง่ายจะตายไป  

ความแตกต่างระหว่างเข้าใจกับเข้าข้างตำรวจอยู่ตรงไหน 
เรามั่นใจว่าไม่เข้าข้างตำรวจ แต่เราเข้าใจว่าพฤติกรรมที่ไม่ดี มีอะไรที่หล่อเลี้ยงเบื้องหลัง เราไม่ได้มองแบบ ดำเป็นขาว เรามองว่าเขาเป็นดำ เราสามารถอธิบายได้ว่าพฤติกรรมที่ดำ มีอะไรอยู่เบื้องหลัง และเราเชื่อว่าถ้าคุณไปอยู่ ณ จุดนั้น คุณก็ดำเหมือนกันนั่นแหละ ระบบเป็นตัวtreat คน คนที่ไม่ไปตามระบบจะต้องมีสภาวะจิตใจที่เข้มแข็ง ได้รับการเลี้ยงดู อบรม ขัดเกลามาอย่างดีทีเดียว

มันยากมาก เพราะระบบไม่เอื้อจริงๆ และระบบการเมืองนี่แหละ หลอมให้ตำรวจเป็นอย่างนี้

การเมืองหลอมอย่างไร
ทุกรัฐบาลที่เข้ามา ต้องการครอบงำตำรวจทั้งนั้น เพราะตำรวจเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาล ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจใช้กฎหมายและอยู่ใกล้ชิดกับฐานเสียง ประชาชน ระบบวัฒนธรรมอุปถัมภ์ในการเมืองท้องถิ่น เพราะฉะนั้นตำรวจจึงต้องถูกครอบอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากผู้มีอำนาจการเมือง ทุกยุคทุกสมัย

ตำรวจมะเขือเทศ หรือเกียร์ว่าง เขามีคำอธิบายไหม จากการได้เข้าไปคลุกคลีนานๆ 
ย้อนกลับไปสมัยตำรวจได้รับการเชิดชู พัฒนาศักยภาพในการทำงานมากที่สุดคือ ยุคทักษิณ ชินวัตร ตำรวจมีพื้นที่ให้แสดงผลงานเต็มที่ในเชิงประจักษ์ มันเหมือนกลุ่มคนทำงานที่โหยหาพื้นที่ของตัวเอง แล้วพอได้มีพื้นที่ เขาจึงเกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เป็นพวกทักษิณ

มันนานพอสมควร จนมีหลายคนที่เติบโตก้าวหน้าในยุคนั้น ฉะนั้นตำรวจสีแดง มันจึงไม่แปลก 

ส่วนเกียร์ว่าง เพราะตัวเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการของรัฐในช่วงนั้น ตำรวจเรียนรู้ว่า ชั้นทำแล้วจะได้อะไร เจ็บตัวไหม หรือก้าวหน้า ถ้าทำแล้วไม่ก้าวหน้าและเจ็บตัวสูง ปล่อยเกียร์ว่างดีกว่า ความที่เขาเก่งไงเลยคิดสะระตะไปหมด
อย่าลืมว่าความมั่นคงของตำรวจต่ำมาก เขาบอกว่าเป็น ผบ.ตร.ว่ายากแล้ว การรักษาไว้จนเกษียณยากกว่า คือ ไม่แน่นอน แปรเลี่ยนไปตามอิทธิพลการเมืองตลอด เช่น วันดีคืนดี คนเป็นรองผู้การ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเฉยเลย นี่คือโลกตำรวจ นี่คือการแทรกแทรง
ทุกโผถูกการเมืองครอบทั้งนั้น ทำเองน้อย(ลากเสียงยาว) มาก ตั๋วเยอะมาก ค่าเก้าอี้เป็นล้านๆ และเป็นเรื่องที่เปิดเผยด้วย ไม่อาย ทุกคนสามารถบอกได้เลยว่า นี่เท่าไหร่ คนนี้โตมาจากอะไร เสียไปให้ใคร

ทำไมถึงเปิดเผยและไม่อาย
เพราะมันเป็นวัฒนธรรมที่ทุกคนยอมรับแล้วว่าต้องทางนี้เท่านั้น งานไม่ได้เป็นตัวกำหนดความก้าวหน้าในโลกตำรวจ ตำแหน่งได้มาจากตั๋วกับตังค์ แล้วทุกคนยอมรับสปิริตด้วยนะว่าถ้าเขาแพ้เพราะตั๋วก็โอเค คราวหน้าค่อยเป็นทีของเรา  พยายามหาตั๋วที่แข็งกว่า ไม่มีใครพูดถึงเรื่องการดูแลทุกข์สุขประชาชน 

ตำรวจ ๑๐๐ นาย จะมีสักกี่นายที่นึกถึงทุกข์สุขของประชาชนจากใจจริง
จริงๆ แล้วเค้านึกถึงนะ แต่มันอยู่ในใจเขาไง (หัวเราะ) ไม่ได้ออกมาในเชิงปฏิบัติ เขามีสำนึกที่ดี แต่ด้วยข้อจำกัดมากมาย ทำให้เขาไม่ได้เอาสำนึกที่ดีของเขามาปฏิบัติ

แล้วปฏิบัติงานเพื่อประชาชนจริงๆ เท่าไหร่
๑๐เปอร์เซ็นต์ถึงหรือเปล่า (หัวเราะ)  น้อยมาก 

จุดที่น่าสงสารที่สุดของตำรวจคืออะไร
คนทำงานก็ต้องการรางวัลจากการทำงาน แต่ระบบการให้รางวัลจากการทำงานของตำรวจมันไม่ได้ผูกโยงกับงาน 
ระบบงานของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรทรัพยากร บุคลากร เป็นเรื่องที่ตำรวจจะต้องหางบประมาณเอง มันทำให้ตำรวจเข้าไปสู่โลกสีเทาแล้ว มันกินตัวเข้าไปเรื่อยๆ ๆ จนหลุดออกมาจากวงจรนี้ไม่ได้

ตำรวจส่วนใหญ่ไม่สามารถเล่าความซับซ้อนของวิถีการทำงานของตัวเอง รวมถึงความซับซ้อนในโลกของการทำงานของเขาให้กับคนทั่วไปเข้าใจได้ หรือแม้กระทั่งกับคนในครอบก็เล่าไม่ได้ คือมันซับซ้อนเสียจนไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจยังไง แม้กระทั่งภรรยาเค้าก็ไม่รู้นะ ว่าสามีตัวเองเดินเข้าไปสู่โลกเทาโลกดำยังไง นี่คือความน่าสงสาร

ลึกๆ แล้ว สุขภาพจิตตำรวจไม่ดีเลย นี่เป็นมูลเหตุจูงใจที่ทำให้อยากเขียนหนังสือให้คนทั่วไปเข้าใจว่าองค์กรนี้เป็นองค์กรที่น่าศึกษา แล้วเราก็รู้สึกว่าตำรวจไม่ได้เลวอย่างที่ประชาชนคิดหรอกค่ะ หน่วยงานอื่นที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงยิ่งกว่าตำรวจก็มี หมอ ครู มีทั้งนั้น  

อยากจะพูดอะไรแทนตำรวจ
ข้าราชการตำรวจเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพและถือว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของประเทศเลยนะ เสียดายถ้าคนกลุ่มนี้จะถูกอำนาจของผู้มีอำนาจเอาไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจและผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง และตอนนี้ตำรวจอยู่ในสถานการณ์นั้น

แต่เรายังอุ่นใจได้ใช่ไหมว่าสำนึกดียังมีอยู่ในตำรวจ
ใช่ค่ะ เชื่ออย่างนั้น  แต่เขาไม่แสดงออก คิดได้แต่ทำไม่ได้ แต่ก็จะเป็นช่วงๆ นะ ช่วงนี้(แต่งตั้ง-โยกย้าย) อย่าไปคาดหวังอะไรกับตำรวจเลยเพราะตำรวจกำลังหวั่นไหวมาก สุขภาพจิตกำลังแย่ 

ไม่เกลียดตำรวจแล้ว?
ไม่เกลียดตำรวจ เข้าใจ มีคนบอกว่าให้เราโอนไปเป็นตำรวจ เราก็บอกว่าเราอยู่บนสวรรค์ดีๆ จะให้ไปลงนรกทำไม เราจะไม่สนับสนุนให้ลูกเป็นตำรวจ ไม่สนับสนุนให้ใครไปเป็นตำรวจ แล้วก็ปวารนาตัวด้วยนะคะว่าจะเขียนงานวิจัยโลกของตำรวจให้เสร็จ สักวันหนึ่งถ้าเรามีส่วนในการเปลี่ยนระบบของตำรวจให้ดีขึ้นได้... 
 ...มันเป็นบุญกุศลเลยล่ะค่ะ

ที่มา : http://goo.gl/DsAuC

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น