คืนหนึ่งเวลาก็เกือบๆ ๕ ทุ่มเห็นจะได้ ผมกับลูกน้องสายตรวจรถยนต์ออกตรวจตราดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่อำเภอพานตามปกติ
“สวัสดีค่ะพ่อ สวัสดีค่ะพ่อ” โทรศัพท์มือถือของผม (๐๘๔-๖๘๗๘๑๘๑) ซึ่งตั้งการโทรเข้าเป็นเสียงพูดของลูกสาว(คนสวยที่สุดในโลก(ในสายตาของผม)ตามที่เธอบังคับและจัดการบันทึกให้พ่อเขา) ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดู หมายเลขที่โทรเข้า ๐๘x-xxxxxxx
“สวัสดีครับ สวป.สุพจน์ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“สวัสดีเจ๊าอ้าย สวป. รบกวนจ้วยมาตรวจตี้ร้านหน่อยเจ๊า กลัวจะมีเหตุบ่ดีน่ะเจ๊า” เสียงเจ๊เจ้าของร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งผมรู้จักดีนั่นเอง
“ได้เลยครับเจ๊ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ รอกำเน้อ” ผมตอบทันทีโดยไม่ถามว่าเป็นเหตุอะไรด้วยจิตและวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ (แฮ่ะๆๆ)
อึดใจต่อมารถสายตรวจก็มาจอดหน้าร้าน ผมกับลูกน้องเดินลงไป เจ๊แกก็เข้ามาต้อนรับ
“เรื่องหยังครับเจ๊” ผมถาม
“ก็แขกในร้านน่ะ” เจ๊แกพูดและชี้เข้าไปในร้านซึ่งคืนนี้แขกค่อนข้างมากสักหน่อย “หน้าตาเหมือนกับถูกวัยรุ่นซ้อมมายังไงยังงั้นเลยเจ๊าอ้าย สวป.”
“เอ้า ถ้างั้นพาผมเข้าไปดูหน่อย" ผมพูด แล้วเจ๊แกก็พาเข้าไปที่โต๊ะๆหนึ่งอยู่ประมาณกลางๆ ร้าน โต๊ะนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งอายุก็ประมาณ ๓๐ แก่ๆ นี่แหละ นั่งคนเดียว ไม่พูดไม่จากับใคร ในมือถืออะไรซักอย่างเป็นกระดาษขนาด A๔ ซึ่งมี ๒-๓ แผ่น หน้าตาเท่าที่เห็นจากไฟสลัวๆ รู้สึกจะปูดโน เขียวช้ำไปหลายแห่งเหมือนกัน เอ๊ะ หรือว่าจะถูกวัยรุ่นซ้อมมาเหมือนกับที่เจ๊แกบอกจริง ๆ
“สวัสดีครับ ผม สวป.พานครับ” ผมพูดกับหนุ่มคนนั้น
“สวัสดีครับอ้าย สวป.” หนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม “แหม!! นึกว่าใคร วันนี้ออกตรวจเหมือนเดิมก๊ะ ขยันแต๊ๆ อ้ายของผมคนนี้”
ผมเห็นหน้าหนุ่มคนนี้ปั๊บก็รู้เลยว่าเป็นใคร บุญปั๋น นั่นเอง ครับแกชื่อบุญปั๋น ผมรู้จักดี แต่ก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะเท่าที่รู้จักมา ๓-๔ ปีนี่น้องบ่าว(น้องชาย)คนนี้แกไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครทั้งนั้น แม้จะเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าดื่มเบียร์บ้างก็ไม่เคยมีเรื่องหรือหาเรื่องหาราวอะไรกับใคร แถมยังรู้ดีอีกต่างหากด้วยนะครับว่าแกเป็นคนค่อนข้างจะซื่อ ซื้อ ซื่อ ว่างั้นเถอะ มีอะไรๆ แกจะพูดจะบอกกับผู้ใหญ่(ที่)บ้าน (คำที่ผมเคยเซ้ยเคยแซวน้องบ่าวคนนี้น่ะครับ) ทุกอย่างเลย ไม่มีปิดบังซ่อนเร้น เอ๊!!!!!! แล้วเหตุไฉนจากคนที่ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครวันนี้หน้าตาเหมือนกับโดนซ้อมมาก็ไม่ปาน
“สวัสดี บุญปั๋น” ผมพูดตอบ “เป็นไง มาเมิน (นาน) แล้วก๊ะ”
“ก็ราวๆ ซัก ๔ ทุ่มกึ่งนั่นแหละอ้าย” บุญปั๋นตอบ “หมดเบียร์ไปเกือบขวดแล้ว”
“เบียร์เบออย่าดื่มให้มากนักก็แล้วกัน เดี๋ยวเมาแล้วขับรถกลับจะถูกจับข้อหาเมาสุราขณะขับรถได้ โทษถึงจำคุกนะ” ผมเตือน
“อ้าย สวป.บ่ต้องห่วงหรอกครับ อ้ายก็ฮู้จักผมดี เรื่องนั้นผมบ่ยะหื้ออ้ายบ่สบายใจแน่ เจื้อเต๊อะ” บุญปั๋นพูด
“เอ้อ ถามหน่อยได้ก่อบุญปั๋น” ผมพูดต่อ “ตั้งแต่ตี้อ้ายฮู้จักตัวมาน่ะ ก็บ่เกยเห็นมีเรื่องมีราวกั๊บไผ แล้วจะใดวันนี้หน้าเน่อไปโดนหยังมาเหมือนกับถูกซ้อมแบบนี้ล่ะ ไผซ้อม อ้ายจะไปจับมันเอง”
“ขอบคุณครับอ้าย” บุญปั๋นตอบ “แต่เรื่องนั้นบ่ต้องกังวลหรอกครับ ผมบ่เอาเรื่องเอาราว อโหสิหื้อเปิ้นแล้ว”
“เอ้า แล้วมันเรื่องหยังล่ะ บอกหน่อยบ่ได้ก๊ะ” ผมรุก
“สำหรับอ้าย สวป.ผมบ่มีหยังปกปิดครับ จะเล่าหื้อฟังก็ได้” บุญปั๋นบอกพร้อมยกเบียร์ที่เหลือแก้วสุดท้ายขึ้นจิบนิดหน่อย “เรื่องของเรื่องก็คือว่าตะวา (เมื่อวาน) ผู้จัดการบริษัทตี้ผมยะการอยู่น่ะเปิ้นเอาเอกสารหื้อพนักงานกรอก ผมฮับมาแล้วก็กรอกน่ะครับ กรอกจนหมดทุกข้อเลย บ่มีตกหล่น ตกเย็นถึงบ้านก็เอาไปหื้อผู้ใหญ่(ที่)บ้านของผมผ่อ แล้วซักกำหน้าตาผมก็เป็นแบบนี้นี่แหละครับอ้าย” บุญปั๋นพูดและชี้ไปที่หน้าของตัวเองแล้วทำท่าเหมือนกับจะร้องไห้พร้อมยกเบียร์ที่เหลือในแก้วกระดกเข้าคอจนหมด
“เอ๊ะ เอกสารอะไร” ผมถาม
“ก็เอกสารแบบนี้ไงครับ อ้าย สวป.ฮือๆๆๆ” บุญปั๋นตอบแล้วเอาเอกสารกระดาษ A๔ ที่อยู่ในมือมาให้ผมดู
เฮ้อ แบบนี้อ้ายก็บ่ฮู้ว่าจะจ้วยได้จะใดเหมือนกันบุญปั๋นคนซื่อ(.....) ไปเคลียร์เองคนเดียวก็แล้วกั๋นเน้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น