ช่วงนี้ถ้าถามใครก็ตามในเรื่องเศรษฐกิจจะได้รับคำตอบคล้ายๆ หรืออาจจะเหมือนกันก็ได้คือ "แย่ครับ" เงินทองที่เคยมีอยู่เต็มหรือเกือบจะเต็มกระเป๋าไม่รู้มันหายไปไหนหมด เฮ้อ กลุ้มใจ ทำมาค้าขายก็ฝืดเคือง ลูกค้าหดหายไปเป็นแถว ร้านเล็กร้านใหญ่ไม่ว่าจะเป็นป้าคำซึ่งขายผักในตลาด ลุงมาที่ถีบสามล้อ อ้ายสมที่ขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือแม้กระทั่งเฮียอ้วนเจ้าของร้านทองถ้าใครลองไปถามว่าค้าขายหรือกิจการเป็นไง แน่นอนครับทุกคนจะมีคำตอบเหมือนกันคือ "แย่ครับ แย่เจ๊า บ่ไหวแล้ว" นี่ครับบ้านเมืองเรายามนี้ ในความเห็นของผมคิดว่าคงจะเหมือนกันหมดทั้งประเทศก็ได้นะเออ
ยามเศรษฐกิจอู้ ฟู่เจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขายคล่อง เงินหมุนเวียนสะพัด ทุกคนมีเงิน(เกือบจะ)เต็มกระเป๋าขโมยขโจร มิจฉาชีพก็น้อย แต่ในทางตรงข้ามระวังไว้หน่อยเน้อพี่น้อง พวกนี้อาจจะออกอาละวาดได้ ทุกคนคงจะคิดแบบนี้ ตำรวจก็เหมือนกัน แล้วก็ในหน้าที่ความรับผิดชอบของการเป็นตำรวจคงจะปล่อยให้มีเหตุการณ์ลักษณะ นี้เกิดขึ้นไม่ได้แน่ ทำอย่างไรดีล่ะ ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไง ใช่ครับ ถูกต้อง ตำรวจคนไหนมีหน้าที่อย่างไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อใครหรือครับ ก็เพื่อพี่น้องนั่นเอง พี่น้องนอนตาหลับ ไปไหนมาไหนรู้สึกปลอดภัย ตำรวจก็มีความสุขและดีใจม้ากกกกกกครับผม
หน้าที่ของผมซึ่งเป็นหน้าที่หรืองานหลักก็คือการระวังป้องกันเหตุเภทภัยไม่ให้เกิดขึ้นกับพี่น้องได้ เคยสอนลูกน้องไว้เสมอว่าอย่าปล่อยให้มีเหตุเกิดขึ้นจะดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าตอนหลังเราจะจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้แต่ความเสียหายกับพี่น้องก็เกิดขึ้นแล้ว วิธีดีที่สุดก็คือการป้องกันครับ ป้องกันไว้ก่อน โดยเรื่องนี้ตำรวจเราทุกคนท่องจำพระบรมราโชวาทของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ที่ตรัสว่า "การจับผู้ร้ายนั้นไม่ถือเป็นความชอบเป็นแต่นับว่าผู้นั้นได้กระทำการครบถ้วนแก่หน้าที่เท่านั้น แต่จะถือเป็นความชอบต่อเมื่อได้ปกครองป้องกันเหตุร้ายให้ชีวิตและทรัพย์สินของข้าแผ่นดินในท้องที่นั้นอยู่เย็นเป็นสุขพอสมควร" ได้อย่างขึ้นใจรวมทั้งน้อมนำพระบรมราโชวาทซึ่งมีค่านี้มาปฏิบัติตลอดเสมอ เพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุร้ายกับพี่น้องขึ้น
วิธีดำเนินการของพวกผมนอกจากจะตระเวนออกตรวจตามสถานที่ในเขตรับผิดชอบแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ขาดเสียมิได้คือการเยี่ยมเยียนพบปะพูดคุยกับพี่น้อง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นระหว่างตำรวจกับประชาชน สอบถามสารทุกข์สุกดิบ แนะนำวิธีการป้องกันเหตุร้ายต่างๆ บ้าง นำเรื่องราวอุทาหรณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องไปเล่าให้ฟังบ้าง อีกอย่างหนึ่งครับตำรวจเรามีทฤษฎีอยู่ทฤษฎีหนึ่งเขาเรียกกันว่า "ทฤษฎีปรากฏกาย" ทฤษฎีนี้ก็ไม่ยากอะไร ง่ายๆ พื้นๆ แต่ได้ผล นั่นคือระหว่างการตรวจนั้นพวกเราจะกระจายกำลังออกตามจุดหรือที่ต่างๆ คนบ้างสองคนบ้าง จุดนั้นสามนาทีห้านาทีเสร็จแล้วไปจุดอื่นอีกทำให้เหมือนกับว่ามีตำรวจมาก ทีนี้พี่น้องสุจริตชนที่พบเห็นก็จะเกิดความสบายใจที่มีตำรวจอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องไประวังระแวงกับพวกมิจฉาชีพมากนัก ในขณะเดียวกันพวกมิจฉาชีพที่เห็นตำรวจและกำลังคิดจะทำผิดก็จะล้มเลิกหรือ กลับใจไม่กระทำไปในตัว นี่ครับ สายตรวจโรงพักเมืองพาน เชียงราย ของเรานำมาใช้อยู่ตลอดเรื่อยมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ทำให้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในเขตเทศบาลหรือจุดสำคัญๆ ที่มีพี่น้องประชาชนพลุกพล่านเลย
ภาพประกอบเหล่านี้เป็นช่วงที่ผมกับลูกน้องสายตรวจรถจักรยานยนต์ออกพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเมืองพานระยะที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงที่พบปะกันนั้นได้สอบถามพูดคุยกับพี่น้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ขายแล้วจะได้ยินคำว่า "สวป.เจ๊า เมื่อใดบ้านเฮาเศรษฐกิจจะอู้ฟู่เหมือนเดิมซักทีเน้อ บ่ไหว ก๊าขายบ่ม่วนเลย แต่ก็ดีแล้วเจ๊าที่หันตำรวจมาเยี่ยม มาอู้มาจ๋า พูดคุย อุ่นใจขึ้นจั๊ดนักเลยเจ๊า" เนี่ย ส่วนใหญ่พี่ๆ น้องๆ จะพูดแบบนี้กัน
เฮ้อ พูดไปแล้วตำรวจก็อยากให้เศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนเดิมเหมือนกันนั่นแหละ ครับ ฝากไปยังผู้เกี่ยวข้องด้วยก็แล้วกัน แต่อย่างไรก็ตามตำรวจเราจะทำหน้าที่ในความรับผิดชอบให้ดีที่สุดเพื่อพี่น้องประชาชนอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
สุขเถิดประชา ตำรวจกล้าจะคุ้มภัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น