เมื่อคิดเช่นนี้ประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จะต้องใช้ตำรวจสายตรวจมากเพียงไร? จะต้องมีงบประมาณในจัดซื้อยานพาหนะ
งบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเท่าใดในการทำหน้าที่เช่นนั้น
และจะมีหน่วยไหนยินดีที่จะจัดสรรงบประมาณให้กับตำรวจโดยไม่ต้องเรียกร้องให้ตำรวจต้องอ้อนวอนร้องขอเสมือนหนึ่งว่าเป็นการของบประมาณมาใช้เพื่อการส่วนตัว!!
“ปัญหาของวงการตำรวจในขณะนี้คือเรื่องงบประมาณ และองค์กรตำรวจขณะนี้บริหารงานด้วยงบประมาณนอกระบบเป็นส่วนใหญ่”
เสียงยืนยันที่หนักแน่นหลายครั้งหลายครา
แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนตามมาภายหลังการส่งเสียงผ่านสื่อมวลชนของนายตำรวจใหญ่ซึ่งไม่มีผู้มีอำนาจคนใหญ่คนโตของประเทศที่ตั้งคำถามและตกใจกับคำว่า"งบประมาณนอกระบบ"
ของตำรวจที่นายตำรวจใหญ่อ้างว่ากลายเป็นเรื่องจำเป็นปกติธรรมดาที่ต้องกระทำเพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ
“รัฐไม่ให้เงินเดือน ค่าตอบแทน
อุปกรณ์การทำงานและการเลื่อนตำแหน่งโดยความชอบธรรมที่จะสามารถเชิดหน้าชูตาเทียบเท่ากระบวนการยุติธรรมอื่นๆ”
สารวัตรพูดเหมือนกับที่ตำรวจรุ่นก่อนหน้าพูดกันซ้ำซากนับสิบปี
แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ตำรวจส่วนใหญ่คิดเช่นเดียวกันว่า"พูดไปก็เท่านั้นไม่มีอะไรดีขึ้น”
“เปรียบเสมือนเลี้ยงสุนัขป่าไว้เฝ้าฝูงแกะโดยปล่อยให้อดๆ อยากๆ
สุนัขป่าก็ต้องเลี้ยงชีวิตตัวเองโดยการกินแกะที่อ่อนแอนั่นเอง” ผู้กำกับเปรียบเทียบให้เห็นภาพความจำเป็นที่เจ้าของฝูงแกะหรือผู้บริหารประเทศจำเป็นต้องเลี้ยงดูสุนัขป่าอย่างเหมาะสมมิใช่ปล่อยให้หิวโซจนต้องกลับมาไล่ล่าฝูงแกะแทนที่จะปกป้องคุ้มครองฝูงแกะนั้น
แท้ที่จริงแล้วตำรวจไทยที่จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างความพึงพอใจ เชื่อถือศรัทธาแก่ประชาชนได้นั้นอาจไม่สามารถเปรียบเทียบได้เพียงแค่สุนัขป่าที่เฝ้าฝูงแกะแต่เพียงเท่านั้น
หากแต่ควรเทียบถึงระดับการเป็น "ยอดมนุษย์" เลยทีเดียว
เพราะการปฏิบัติงานของตำรวจนั้นมีปัญหาและอุปสรรคมากมาย
ทั้งในด้านบุคลากรและงบประมาณ ดังนั้นนอกเหนือจากศักยภาพ สมรรถนะ
ความทุ่มเทและความตั้งใจในการทำหน้าที่ที่ดีของตำรวจแล้วนั้น
ตำรวจยังต้องสร้างความเข้มแข็ง อดทน อดกลั้นให้กับลูกเมียของตำรวจด้วย เพราะการที่ตำรวจจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ที่หนักอึ้งและไม่สามารถกำหนดขอบเขตเวลาที่แน่นอนได้นั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกองหลังหรือกองหนุนที่มีความเข้มแข็งเพื่อให้เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จโดยมิต้องพะวงหน้าพะวงหลังจนส่งผลกระทบถึงภารกิจหลักของงานในหน้าที่
“เป็นกำลังใจให้พ่อของคุณและเจ้าหน้าที่ทุกคนในสังกัด สตช.ครับ”เป็นข้อความที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์โต้ตอบกระทู้ของลูกตำรวจที่ระบายความรู้สึกของตนเองที่ต้องอดทนและเข้มแข็งต่อกระแสความรู้สึกเชิงลบที่มีต่อตำรวจ
“ในช่วง ๗ ปี มานี้เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมฝูงชนมาก ต้องทำงานหนักในสภาพตึงเครียด ไม่ว่า
เรื่องอาหารการกิน การนอน เวลาเกิดม็อบเรื่องปะทะมีแต่ถูกด่ากับเจ็บตัว
หนีก็ไม่ได้ ต้องตามคำสั่งเจ้านายอย่างเดียว เวลาอยู่กับครอบครัวก็คงน้อยลงเพราะต้องทำหน้าที่ตามคำสั่ง
น่าเห็นใจ ขอเป็นกำลังใจให้” ผู้โต้ตอบใช้นามว่า
"บ้านดิน" ในขณะที่ผู้ใช้นามว่า "ลิเวอร์เนียร์" บอกว่า
"ในสายตาคนส่วนมากภาพลักษณ์ตำรวจมันติดลบแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไม่ใช่แค่วันสองวันนี้”
“อยู่กับตำรวจมาตั้งแต่เกิดเลยเข้าใจ แต่พูดไปก็ไม่มีใครฟัง” นายทหารวัย ๓๐ ผู้เป็นลูกชายของข้าราชการบำนาญตำรวจปลอบใจลูกตำรวจรุ่นน้องโดยแนะนำเสริมว่า
"...ตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า ที่เขาด่าตำรวจนั้นมันจริงไหม
แล้วเป็นตัวของตัวเองที่สุด...ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะรับราชการทหารตามที่พ่อผมต้องการ
แต่จริงๆ แล้วในใจผมอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เพราะผมรู้ไงครับว่าอะไรเป็นอะไร” นายทหารลูกตำรวจกล่าวย้ำ
"อะไรเป็นอะไร"
คงหมายถึงเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังที่มาของการกระทำต่างๆ ของตำรวจ
ทั้งในรูปแบบที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนในสังคมและรูปแบบพฤติกรรมที่ทำให้เกิดเสียงก่นด่าจนเกิดการเหมารวมสร้างความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ตำรวจทั้งองค์กร
หากแต่ผู้ที่เข้าใจเหตุที่มาของการผลักให้ตำรวจส่วนหนึ่งต้องเข้าไปติดกับดักผลประโยชน์และการกระทำในสิ่งที่มิชอบต่างๆ
นั้น ก็ไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการบริหารงานในองค์กรตำรวจไทยให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานและการครองตนได้อย่างสง่าผ่าเผยสมศักดิ์ศรีได้เลย...คงได้แต่ภาวนารอให้ถึงวันที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะเข้าใจต่อไป!!
สิ่งที่พวกเขาเหล่านี้ทำได้จึงเป็นเพียงการมีสติ
ตระหนักรู้และตื่นตัวที่จะไม่กระทำในสิ่งที่จะทำให้ตนเองต้องติดกับดักของอำนาจและผลประโยชน์โดยกระทำการในสิ่งที่มิชอบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น