วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มองตำรวจเพียงแค่คนเดินดิน : โลกตำรวจ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘)

นานๆ จะเห็นผู้นำหน่วยของตำรวจพูดน้อยแต่ต่อยหนัก หมายความว่าไม่ช่างจำนรรจาผ่านสื่อมวลชน แต่เน้นที่การลงมือทำงานอย่างจริงจังเป็นรูปธรรมเคียงคู่กับลูกน้อง ชนิดที่กล้าพูดว่านายตำรวจที่อยู่แวดล้อมล้วนแล้วแต่มีฝีมือขั้นเทพ

ขอปรบมือดังๆ ให้แก่ พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖ กับความพยายามทุ่มเทในการพัฒนาประสิทธิภาพงานตำรวจทั่วทั้งกองบัญชาการโดยมีกองบังคับการและสถานีตำรวจต่างๆ ในสังกัดเป็นลูกทีม ทำให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖ มีผลงานที่โดดเด่นขึ้นมายืนอย่างสง่างามในระดับแถวหน้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เสียงตอบรับจากไพร่พลตำรวจที่แสดงความชื่นชมศรัทธานายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกที่ว่า นายมีใจให้แก่ลูกน้องและมีการบัญชาการในลักษณะติดดิน พูดจริงทำจริง ไม่กดขี่ขูดรีดลูกน้องนั้น นับได้ว่าเป็น "การเรียกขวัญ” ที่ดีสำหรับเหล่าบรรดาไพร่พลตำรวจภูธรภาค ๖ และแน่นอนอย่างยิ่งว่า ผลลัพธ์ของการมีขวัญและกำลังใจที่ดีนี้ย่อมส่งผลต่อความตั้งใจที่จะทำงานตามที่นายบัญชาการอย่างสุดฝีมือ เต็มที่และเต็มใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนย่อมได้รับประโยชน์ในที่สุด

“Stop Walk  And Talk” เป็นนโยบายที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และหากตำรวจใช้วิธีการเดินและให้เวลาที่จะพูดคุยซักถามเรื่องราวต่างๆ แก่ชาวบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจแท้จริงแล้วนั้น ย่อมเชื่อมั่นได้ว่าความรู้สึกดีๆ ที่ประชาชนมีต่อตำรวจย่อมบังเกิดผลดีได้ในที่สุด ความร่วมมือร่วมใจในการลดอาชญากรรมร่วมกันย่อมประสบความสำเร็จโดยที่ตำรวจจะไม่ยืนอยู่อย่างเดียวดายเพียงลำพังเหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป

ขอเพียงพูดจริง ลงมือทำจริง อย่าเพียงแค่ คิดโครงการและประชาสัมพันธ์เหมือนอย่างตำรวจหลายนายที่นิยมทำกันเท่านั้น

การหยุดเพื่อเฝ้ามองอย่างถี่ถ้วน (stop) การเดินเข้าหาประชาชนอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง (walk) และพูดคุยกับชาวบ้านสร้างความสนิทสนมความไว้วางใจ (talk) พร้อมกับการซักถามปัญหา ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความหวาดกลัว แค่นี้ก็สามารถสร้างความอุ่นใจและความรู้สึกดีๆ ได้แล้ว

นอกจากนั้นยังได้ข้อมูลในระดับพื้นที่ที่มีความละเอียดลุ่มลึกจากการใกล้ชิดชาวบ้าน ยิ่งทำให้ตำรวจสามารถป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด ตรงสาเหตุ และที่สำคัญคือ ตรงใจ

ได้ทั้งผลงานและได้ทั้งใจของชาวบ้าน

อย่างนี้จึงอาจนับได้ว่าการสร้างระบบบริหารจัดการทีมโดยมีผู้นำระดับกองบัญชาการที่ดีและนำไปสู่การมีนโยบาย มาตรการและการกำกับการงานตำรวจที่มีประสิทธิภาพ กอปรกับการร่วมแรงร่วมใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในลักษณะก้าวเดินแบบติดดินด้วยกันของทีมตำรวจภูธรภาค ๖ นี้จึงนับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิธีการทำงานของตำรวจไทยที่น่าสนใจและควรแก่การนำไปเป็นแบบอย่าง

หมายความว่าต่อแต่นี้ไปตำรวจภาค ๖ จะไม่วิ่งและพูดคุยหรือคอยดูแลเอาใจแต่เฉพาะคนที่มีอำนาจวาสนาที่สามารถดลบันดาลยศถาบรรดาศักดิ์ให้แก่ตนเองได้เท่านั้นใช่หรือไม่? ชาวบ้านจนๆ คนเล็กคนน้อยในสังคมในพื้นที่รับผิดชองของตำรวจภูธรภาค ๖ จะอยู่ในสายตาของตำรวจด้วยใช่หรือไม่ ?

คำพูดของนายตำรวจใหญ่ต่อไปนี้ แม้มิได้เกิดขึ้นในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค ๖ แต่น่าสนใจไม่น้อย "อย่าไปพูดถึงชาวบ้านเลย ขนาดพี่เป็นนายมันแท้ๆ มันยังไม่สนใจเลย มันรอรับนักการเมืองที่สนามบินพี่เดินผ่านมัน มันไม่สนใจพี่เลย ตามันจ้องแต่จะมองหาแต่นักการเมืองที่มันมารอรับเท่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของพวกมันเลย" นายตำรวจใหญ่เล่าให้น้องๆ ตำรวจฟังเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงวิถีวัฒนธรรมโหนผู้มีอำนาจเพื่อให้ตนเองได้รับความก้าวหน้าในอาชีพตำรวจมากกว่าที่จะตั้งใจทำงานเยี่ยงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดี (ถึงแม้ว่าในโลกความเป็นจริงนั้น “การโหน” มีความก้าวหน้ามากกว่า “การทำงาน”)

เช่นเดียวกับชาวบ้านที่พูดถึงหัวหน้าสถานีตำรวจที่ย้ายมาใหม่และแปลกกว่า "นาย" ทุกคนที่ผ่านมา

“ผู้กำกับย้ายมาใหม่ เขาดีนะ มาเดินตลาดนี้ด้วย คนก่อนๆ ไม่เคยเห็นหน้าเลย ป้าอยู่ที่นี่มาตั้งนานไม่เคยเห็นหน้าตาผู้กำกับ เพิ่งจะเห็นคนนี้นี่แหละ แปลกดี มาเดินตลาด กินข้าวแกงในตลาด”

ขอเพียงแค่ตำรวจติดดิน กินข้าวแกง พูดคุยกับชาวบ้านอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แค่นั้น คงไม่ยากเกินไป เชื่อเถอะว่า จะมีความสุขใจมากกว่าอยู่ใกล้คนมีอำนาจมากนัก หากไม่ยึดติดเพียง ลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งในที่สุดย่อมเสื่อมไป

อย่างน้อยก็รู้ได้ถึง คุณค่าของความเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง !!!!

ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20150715/209776.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น