วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตำรวจไม่ใช่เทวดา : โลกตำรวจ โดยปนัดดา ชำนาญสุข (๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖)

อย่าเผลอคิดว่าตำรวจเป็นเทวดา! ตำรวจอาจจะเป็นบุคคลที่คุณโกรธ ไม่พอใจ จนบางคนอาจถึงขั้นบอกว่า เกลียดตำรวจ แต่ถึงแม้ว่า คุณจะโกรธ เกลียด ไม่ชอบตำรวจ แต่อย่าลืมเรียกใช้ตำรวจนะคร้าบนายตำรวจใหญ่พูดคุยกับดิฉันเมื่อคราวที่ดิฉันทำงานวิจัยภาคสนามในจังหวัดแห่งหนึ่งภาคเหนือโดยมีความคิดเห็นเชิงเสียดสีที่มีนัยว่าถึงคุณจะเกลียดผมอย่างไรในที่สุดคุณก็ต้องเรียกใช้ผมอยู่ดี!

คนไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของตำรวจ เมื่อไม่รู้ก็ตีความเป็นตามความคาดหวังและประสบการณ์ของตนเอง ซึ่งหากเปิดใจให้กว้างและกลับมาคิดทบทวน เปรียบเทียบอาชีพตำรวจกับอาชีพอื่นๆ อาจจะทำให้เราเกิดความสงสัยว่า ตำรวจเขามีความสามารถในการกระทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างที่เราคาดหวังไว้ทั้งหมดจริงหรือ?” เราคาดหวังให้ตำรวจทำสิ่งต่างๆ มากเกินไปหรือไม่? หรือเป็นเพราะมายาคติของวลีที่ว่า บำบัดทุกข์ บำรุงสุขเลยทำให้หลายๆ คนเมื่อมีความทุกข์ เดือดร้อน ก็มักจะนึกถึงตำรวจก่อนกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ

ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า ความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทยสูงเกินจริงแต่ตำรวจไทยก็ไม่เคยประชาสัมพันธ์ สื่อสารให้ประชาชนรับรู้เพื่อลดความคาดหวังต่อบทบาทของตำรวจให้ตรงตามหน้าที่ที่แท้จริงของตำรวจเลยสักครั้ง หากแต่พยายามหาวิธีการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวัง ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ไม่สามารถทำให้สมหวังได้ (เพราะถูกหวังเยอะเหลือเกิน) หากเป็นความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับการบริการทั่วไปที่สุภาพบุรุษทุกอาชีพทำได้แล้วนั้นก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก เช่น จับงู ไกล่เกลี่ยผัวเมียทะเลาะกัน แต่ในบางเรื่องนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจของตำรวจ เช่น อุตส่าห์บอกเบาะแสให้มันจับ เสี่ยงก็เสี่ยงนะ มันก็แกล้งไปจับ เสร็จแล้วมันก็ปล่อยออกมา ยาบ้าถึงระบาดเต็มเมือง ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นใครจะกล้าทำชาวบ้านเล่าความรู้สึกผิดหวังต่อการทำงานของ มันซึ่งหมายถึง ตำรวจ


ตัวอย่างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนี้ถูกเผยแผ่ส่งต่ออย่างรวดเร็ว ทั่วถึง กว้างขวาง และถูกตอกย้ำความน่าเชื่อถือครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยการที่บุคคลที่คนส่วนใหญ่ในชุมชนรู้เป็นอย่างดีว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้รับการประกันตัวออกมาภายหลังจากถูกตำรวจจับตัวไปไม่นาน รวมถึงในบางสถานการณ์ที่พี่ตำรวจใจดีจับผู้เสพยาซึ่งเป็นเยาวชนได้และเรียกผู้ปกครองมารับทราบ พูดคุยกัน พ่อแม่เขาก็ตกใจนึกไม่ถึง รับปากรับคำอย่างดีจะดูแลลูก ทั้งเด็กและผู้ปกครองเข้าใจกันพูดคุยตกลงกันต่อหน้าเราจะกลับไปทำตัวใหม่ ไม่เสพกัญชา ไม่เสพยาบ้าอีกแล้ว ทำได้แน่นอนเพราะเพิ่งจะหลงผิดไปทดลองเสพได้ไม่นานก็เลยปล่อยไปถือว่าให้โอกาสเด็กและให้โอกาสผู้ปกครองด้วย หากแต่คนอื่นๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในชุมชนมิได้เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการให้โอกาสคืนคนดีสู่สังคมของตำรวจ ดั่งคำพูดที่ว่า เห็นมั้ย ถ้าเป็นพวกมัน มันก็ปล่อย มันเลือกจับแต่คนที่ไม่ใช่พวกมัน”...ไม่มีคำชี้แจงจากตำรวจ...เพราะหากชี้แจงก็หมดเวลาพอดี ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ...ทนได้ก็ทนไปใช้คติ อดทนต่อความเจ็บใจ!” (อีกแล้ว)

มายาคติที่ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจตำรวจผิดพลาดคลาดเคลื่อนจึงสะสม เพิ่มพูน เกาะกินความรู้สึกจนหลายๆ คนแม้ไม่เคยได้สัมผัสเกี่ยวข้องกับตำรวจก็ยังเกิดความรู้สึกเกลียดตำรวจไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล

อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติงานของตำรวจนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ตำรวจที่ดีไม่สามารถชี้แจงแสดงเหตุผลของการปฏิบัติงานบางอย่างแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนได้ เพราะจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ทำให้ภาวะการเข้าใจผิดไม่ได้รับการแก้ไขและสื่อสารบอกต่อๆ กันไปจนกลายเป็นกระแสความรู้สึกเชิงลบ

ด้วยเหตุนี้หากภารกิจใดที่มิใช่บทบาทและหน้าที่หลักของตำรวจจึงเป็นสิ่งสมควรแล้วที่ผู้นำตำรวจจะปฏิเสธภาระหน้าที่นั้น นอกจากนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงและเข้าใจนโยบายที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบนโยบายไว้ด้วย พร้อมทั้งสื่อสารให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องถึงกิจกรรมและภารกิจที่ตำรวจได้เดินตามทางนโยบายนั้น ซึ่งเป็นการทำงานอย่างมืออาชีพ มีทิศทางในการทำงานเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนอย่างชัดเจนและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของสังคมไทย

การปล่อยให้ประชาชน องค์กรต่างๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐคาดหวังตำรวจเกินจริง จนตำรวจต้องเบียดขับตนเอง กดดันผู้ใต้บังคับบัญชาจนทำให้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของงานหลักนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นความชอบ เพราะไม่เข้าข่ายว่าจะต้อง ทนและอย่าลืมว่าองค์กรตำรวจมีทรัพยากรที่จำกัดอย่างมากในทุกด้าน ดังนั้น ยุทธการสั่งแห้ง (สั่งงานโดยไม่มีงบประมาณ) จึงไม่ได้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

อย่าลืมว่าตำรวจไม่ใช่เทวดาที่จะทำทุกอย่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภารกิจนั้นเป็นของหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบตรงอยู่แล้ว ก็ควรส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานนั้นแสดงบทบาทหน้าที่ให้เต็มที่ และรับผิดชอบผลงานของตนเอง...มิใช่ อะไรอะไรก็ตำรวจ!

ที่มา : http://goo.gl/IWNzn

พระบรมราโชวาท (๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖)

....ผู้ที่เข้ามาเป็นตำรวจย่อมทราบดีกันทุกคนว่างานในหน้าที่ของตนนั้นเต็มไปด้วยปัญหาสารพัด ทั้งยังมีภัยอันตรายที่จะต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงอีกมากในการกำราบปราบปรามผู้ทุจริต ตำรวจทุกคนจึงต้องตั้งตัวตั้งใจให้มั่นคงและหนักแน่นเป็นพิเศษตั้งแต่วาระเริ่มแรกที่จะต้องรักษาความสุจริตและถูกต้องเป็นธรรมไว้เสมอทุกเมื่อ จะต้องรักษาความเพียรพยายาม ความกล้าหาญ อดทน เสียสละไว้ไม่ให้เสื่อมถอย จะต้องควบคุมสติความรู้เท่าทันเหตุการณ์ไว้ตลอดเวลา และจะต้องฝึกฝนความรู้ ความคิดวินิจฉัยของตนให้กระจ่างแจ่มชัดพร้อมที่จะนำมาใช้ได้ทุกขณะ ความระมัดระวังตั้งใจและเตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอดังนี้จะช่วยประคับประคองและส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่ว่าเป็นภาระยากลำบากนั้นได้สำเร็จ

นอกจากนี้ใคร่จะขอเตือนว่าอุปสรรคสำคัญของตำรวจคือความท้อถอยและความขลาดหวาดหวั่น อันเป็นเครื่องบั่นทอนความสามารถ และความฉลาดในตนเองอย่างร้ายกาจ ตำรวจจะยอมแพ้แก่ความยากลำบากหรือแก่คนทุจริตไม่ได้เป็นอันขาด ตรงข้าม จะต้องมั่นใจและระลึกไว้เสมอว่าตำรวจเป็นฝ่ายที่เป็นธรรมและสุจริตย่อมอยู่ในสภาพที่เหนือกว่าผู้กระทำผิดทุกประการ จึงต้องเอาชนะผู้กระทำผิดได้เป็นแน่นอน และเมื่อแต่ละคนทำจิตใจให้เชื่อมั่นและหนักแน่นได้ดังนี้ ย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงได้ด้วยความกล้าหาญ เที่ยงตรง เป็นธรรม และด้วยประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมโดยไม่มีทุจริตชนคนใดจะเอาชนะความดีความสามารถของตนได้เลย....

(พระบรมราโชวาทเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ ๓๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๖)

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อยากให้ไปอยู่ด้วยจังเลย (๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖)

ช่วงจัดรายการวิทยุผมน่ะดั๊งดังขอบอก ไม่ใช่โม้ ขวัญใจของทุกคนเลยแหละ อ้ะอ๊า
น้องคนนั้น : "พี่พจน์ครับ รายการพี่นี่สุดยอดจริงๆ ผมเปิดให้ลูกน้องผมฟังตอนทำงานตลอดเลย ลูกน้องผมช้อบชอบ ฝากบอกผมมาว่าอยากให้พี่พจน์ไปอยู่กับเขาจังเลย"
พี่พจน์ : "ใช่ๆๆๆๆ พี่พจน์เก่งไง เอ้อ ว่าแต่น้องทำงานที่ไหนล่ะ"
น้องคนนั้น :"อ๋อ ผมเป็นผู้คุมที่เรือนจำอำเภอนี้นี่แหละพี่พจน์"

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลากิจส่วนตัว (๒๔-๒๘ มิถุนายน (๒๕๕๖)

ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ เดือนนี้ผมขออนุญาตลากิจจึงไม่มีความเคลื่อนไหวในงานมาบันทึกไ้ว้ แต่อย่างไรก็ตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวในภาพรวมของตำรวจน่านเรายังมีตลอดครับตามที่เพื่อนๆ ส่งมา เมื่อส่้งมาแล้วผมก็จะนำเสนอใน Facebook ภ.จว.น่านให้ทันที อย่าลืมติดตามนะครับ
https://facebook.com/nan.police5
ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

'จ.ส.ต.หญิงวันดี' ครู ตชด.กับภารกิจเข้าสู่อาเซียน (๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๖)

แม้จะมีข่าวการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก สะเทือนสังคมชนบทอย่างมาก แต่สำหรับเด็กๆ โรงเรียนตระเวนชายแดน (ตชด.) บ้านเรดาร์ ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี แล้ว การไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และวัฒนธรรม สะท้อนภาพความผูกพันได้ดีเยี่ยม ในวันเปิดภาคเรียน ทั้งๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ โรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๖ มีครู ๘ คน สอนอนุบาล ๑ ถึง ป.๖ มีนักเรียนอายุตั้งแต่ ๕-๑๘ ปี กว่า ๓๐๐ คน ทั้งคนไทยยากจน พม่าอพยพ มอญพม่า กะเหรี่ยงไทย-พม่า และมุสลิมชาวพม่า กว่า ๓๐๐ คน เด็กๆ ยังมีการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแต่ละชาติพันธุ์อย่างเหมาะสม ไม่มีการเหยียดศาสนา และเชื้อชาติ  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปเยือนถึง ๓ ครั้ง พร้อมกับทรงตั้งโครงการพระราชดำริ เช่น การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหารกลางวันให้แก่เด็กๆ

จ.ส.ต.หญิงวันดี วิเชียรบุตร ครูสอนทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ยอมรับว่า การสอนหนังสือในโรงเรียนชายแดนที่ต่างภาษา วัฒนธรรม และเชื้อชาติ ไม่ใช่เรื่องง่าย ครูในโรงเรียนชายแดนหลายคนต้องศึกษาเด็กทีละรายเพื่อทำความรู้จัก ขณะที่พ่อแม่ ผู้มาขายแรงงาน ซึ่งพูดไทยไม่ได้ ก็ยากจะทำความเข้าใจต่อปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ สิ่งเดียวที่ครูทุกคนต้องทำ คือ สอนให้เด็กยอมรับกันในวัฒนธรรมอันแตกต่างก่อน จากนั้นค่อยต่อยอดภาษาไทย ตามด้วยทักษะวิชาอื่น

"บางคนเพิ่งเข้าเรียนตอน ๑๑ ขวบ เป็นชาวพม่า พูดไทยไม่ได้ ต้องส่งเข้ากลุ่มอนุบาล แม้อายุจะดูเป็นวัยรุ่น และครูทุกคนก็ดูออกว่าเด็กไม่พอใจจะเรียนกับรุ่นน้อง ต้องค่อยๆ ปลอบใจและสื่อสารกับผู้ปกครอง ให้เข้าใจความแตกต่าง เพื่อให้เด็กเปิดใจยอมรับ ซึ่งกรณีอย่างนี้ทำได้ผลกว่า ๘๐% โชคยังดีที่มีกิจกรรมทำหลายด้านทั้งการละเล่นพื้นบ้าน การเลี้ยงสัตว์ การปลูกพืช ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ขึ้นมาได้อีกระดับ แต่ก็ทำให้การเรียนการสอนทักษะวิชาการ ลดน้อยลง" จ.ส.ต.หญิงวันดี อธิบาย

นโยบายรัฐบาลส่งเสริมเรื่องสังคมอาเซียน (Association of South East Asian Nations : ASEAN) หน่วยงานในสังกัดการศึกษาหลายพื้นที่ พยายามให้โรงเรียนทุกแห่งส่งเสริมความรู้ภาษาอังกฤษ และเน้นให้เด็กได้ใช้เทคโนโลยี อย่างแท็บเล็ต เพื่อให้ทันต่อประชากรประเทศอื่น แต่โรงเรียนชายแดนอย่าง บ้านเรดาร์ อยู่ในถิ่นทุรกันดารแล้ว เด็กๆ ที่นี่ล้วนเป็นลูกหลานเกษตรกรที่หาเช้า กินค่ำ บ้างก็ทำอาชีพรับจ้าง มีความโดดเด่นเรื่องวัฒนธรรมและฝีมือทางการเกษตร

"เราอยู่กับเด็กมานาน เห็นว่าพวกเขาสนใจหนังสือ ห้องสมุด จำนวนมาก ทุกคนมีความสุขกับการเรียนรู้  มีบ้างที่บุคคลภายนอกเดินทางมาเยี่ยมในฐานะโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล แต่ส่วนมากก็บริจาคเป็นอาหารกลางวัน เป็นเงินสนับสนุน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้รัฐบาลได้รับรู้และเข้าใจ คือ การแจกแท็บเล็ตให้เด็กๆ ชายแดนยังไม่ใช่เรื่องที่จะช่วยให้เด็กๆ มีศักยภาพในการก้าวทันอาเซียน ดังนั้นสิ่งที่โรงเรียนบ้านเรดาร์ต้องการคือ การมีบุคลากรเพิ่มเติม มีหนังสือมากขึ้น และมีเวลาการเรียน การสอนที่เน้นการประสานวัฒนธรรม ภาษา และแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างชาติพันธุ์ พร้อมๆ กับทักษะวิชาการมากกว่า" ครูวันดี ระบุ

พ.ต.ท.คำรน แร่เพ็ชร ครูใหญ่โรงเรียนบ้านเรดาร์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลสนับสนุนองค์ความรู้แก่บุคลากร และเพิ่มจำนวนบุคลากร เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ให้แก่เด็กๆ ได้อ่านออก เขียนได้ทั้งไทยทั้งอังกฤษ และภาษาที่สามคือสิ่งจำเป็น เพราะเครื่องมือและความสามารถของเด็กๆ เป็นที่รู้ดีว่า อุดมไปด้วย ด้านการเกษตร จักทอ และประมง ซึ่งสืบทอดมาจากพ่อแม่ เป็นส่วนมาก

วันนี้โรงเรียนบ้านเรดาร์เปิดรับอาสาสมัครครูสอนภาษาอังกฤษ ผู้ใดสนใจเป็นอาสาสมัครเพื่อเด็กๆ ที่นี่ จะเป็นส่วนตัวหรือกิจกรรมกลุ่ม หรืออาจบริจาคหนังสือ ติดต่อได้ที่ จ.ส.ต.หญิงวันดี วิเชียรบุตร ๐๘๖-๑๖๘๗๐๕๖ โรงเรียนบ้านเรดาร์ อ.สังขละบุรี เลขที่ ๓๓๓ หมู่ ๔ ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ๗๑๒๔๐ มีบริการที่พักในโรงเรียนฟรี

ที่มา : http://goo.gl/TY68D

ภาพที่ผมประทับใจ (๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๖)

สวัสดีวันหยุดครับ

วันนี้วันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเส็ง รัตนโกสินทรศก ๒๓๒ ตรงกับวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๒๕๕๖ ปี ขอให้มีความสุขกันทุกๆ คนนะครับ

ก่อนเขียน(พิมพ์) เรื่องราวนี้ผมไปเปิด mail ของตัวเองที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ซึ่งมีเยอะมากเลยทีเดียวครับในแต่ละวันหนึ่งในนั้นมีอยู่ท่านหนึ่งใช้ชื่อว่า pingpong ส่งข้อความที่อ่านแล้วประทับใจจริงๆ อดที่จะเก็บไว้คนเดียวไม่ได้จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดมาบอกต่อกันอีกทีหนึ่งข้อความมีดังนี้ครับ

มีสิ่งสำคัญอยู่ ๔ ประการที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณ
ก้อนหิน...เมื่อขว้างมันออกไปแล้ว
คำพูด...เมื่อได้พูดออกไปแล้ว
เวลา...เมื่อหมุนผ่านพ้นไป
โอกาส...เมื่อได้สูญเสียมันไป
ทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไปอย่างนี้เสมอ
จะหลงเหลืออยู่บ้างก็เพียงร่องรอยของความทรงจำ
ฉะนั้นจงสร้างร่องรอยแห่งความทรงจำที่ดี
พูดบวก เพราะจะทิ้งร่องรอยแห่งความชื่นชม
ดูแลสุขภาพกาย/ใจให้ดีเพราะจะชราแต่งแข็งแรง
และจงสร้างความสำเร็จให้ชีวิต...เพราะยังมีโอกาส
นี่คือข้อความที่ประทับใจผมมากเลยทีเดียวก็ขอฝากไว้กับทุกๆ ท่านด้วยแล้วกันครับ
ขอบคุณคุณ pingpong มากนะครับ

พูดถึงข้อความประทับใจที่เพื่อนส่งมาให้แล้วก็นึกถึงภาพต่างๆ ที่ผมนำลงในบล็อกส่วนตัวตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ซึ่งมีอยู่น่าจะมากกว่า ๒๐,๐๐๐ ภาพก็เลยเปิดดูภาพเหล่านั้น ดูไปดูมามีอยู่มากเหมือนกันที่ประทับใจผม(อาจจะคนเดียวก็ได้) เลยขออนุญาตคัดเลือกบางส่วนมานำเสนอว่าภาพที่(ผม)ประทับใจนั้นมีอะไรบ้าง แต่ตรงนี้ต้องขอบอกแบบออกตัวหน่อยนะครับว่านั่นเป็นเพียงมุมมองของผมที่อาจจะไม่ตรงกับหลายๆ ท่านก็ได้ สำหรับภาพที่ผมขออนุญาตนำเสนอปรากฎด้านล่างนี้นะครับ

                            

รักตำรวจ เกลียดตำรวจ มีปัญหาอย่าลืมเรียกใช้ตำรวจนะครับ

สวัสดีครับผม

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ย้อนอดีตนักเรียนพลร่ม (๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖)

สวัสดีทุกท่าน

วันนี้วันเสาร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๓๗๕ ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธกาลล่วงแล้ว ๒๕๕๖ ปี วันหยุดสำหรับหลายๆ ท่าน ก็ขอให้มีความสุขโดยทั่วกันนะครับ

วันหยุดวันนี้ผมขออนุญาตย้อนอดีตหน่อย ก็อย่างว่าแหละคนเราเมื่ออายุถึงช่วงๆ หนึ่งส่วนใหญ่มักจะพูดเรื่องเก่าเล่าเรื่องหลังกันมากกว่าเรื่องที่จะมีหรือเกิดขึ้นในภายภาคหน้า (เขาว่ากันนะครับผมไม่้รู้หรอก แบบว่้าฟังๆ เขามาน่ะ ไม่รู้จริงๆ สาบานได้ แฮ่ะๆ) ยิ่งถ้าเป็นการรวมตัวหรือพบปะสังสรรค์กันเป็นจำนวนมากระหว่างคนที่เคยเรียน เคยศึกษา เคยทุกข์เคยสุขร่วมกันแบบงานเลี้ยงรุ่นด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ไม่มีหรอกครับที่จะพูดเรื่องข้างหน้า (เกือบ)ทุกคน (ไม่รู้ว่ามีผมรวมอยู่ในคำคำนี้ด้วยหรือไม่.. ไม่น่ะ..เนาะ) จะพูดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาทั้งนั้น ไม่เชื่อท่าน(ที่อายุถึงช่วงนั้น)ลองหวนนึกถึงดูซิ่ เชื่อเถอะ เป็นยังงั้น(แทบจะ)ทั้งเพ

จะจริงหรือไม่จริงผมไม่รู้นะ แต่...เมื่อคืนเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นเดียวกัน (พวกเรา นรต.รุ่น ๓๖ ครับ) โทรไปหาผมพร้อมพูด(ด้วยถ้อยคำไพเราะซะเหลือเกิน)ว่า "เฮ้ย..ไอ้พจน์ ไอ้ห่...มึ..พอจะมีัภาพเก่าๆ สมัยพวกเราเป็นนักเรียน(นายร้อยตำรวจ) บ้างไหมว..กูอยากได้ว่..จะเอาไปอวดลูกชายว่าตอนเป็นนักเรียน(นายร้อยตำรวจ)น่ะก..หล่อชิ..หา.." เมื่อเพื่้อนพูดมา(อย่างไพเราะอย่างงั้น)ผมก็ตอบเพื่อนไป(อย่างไพเราะเหมือนกัน)ว่า "มีัซิ่ว..ไอ้ห..ก..เก็บไว้เยอะเลย มึ..อยากได้ภาพแบบไหนว..ไอ้ส..." เพื่อนตอบ(ด้วยถ้อยคำไพเราะเหมือนเดิม)ว่า "ไอ้เหี...พจน์ ภาพอะไรได้ทั้งนั้นว่..ไอ..ส้..ตีั..ก..ไม่มีัปัญหาเพราะว่าก..ไม่มีเหี..ซักภาพโว้.."

เมื่อสนทนาฉันเ้พื่อนด้วยถ้อยคำที่แสนจะไพเราะกันเสร็จแล้วผมก็ไปรื้อๆ ค้นๆ ภาพเก่าๆ ที่เคยถ่ายไว้มาดู ได้มาอัลบั้มหนึ่ง อัลบั้มนี้เป็นช่วงที่พวกเราไปฝึกโดดร่มที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมัยเทอมปลายปี ๒ ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๒๔ ครับ จึงขออนุญาตนำมาฝากทุกท่านรวมถึงเพื่อนรักคนที่พูดไพเราะคนนั้นในวันนี้ด้วย ส่วนใครจะเป็นใครกันบ้างฝากให้ดูเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเรา นรต.๓๖ (กรุณาคลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่นะครับ)