การกดขี่ขูดรีดในโลกตำรวจ
นกไม่มีขน
คนไม่มีเพื่อน บินสู่ที่สูงไม่ได้ฉันใด
ผู้นำที่ไม่มีขุนพลที่ทำหน้าที่เสมือนเพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
ร่วมงานด้วยใจที่มุ่งมั่น ย่อมปฏิบัติงานได้อย่างไม่เต็มสมรรถนะเต็มกำลังฉันนั้น
เพื่อนร่วมทีมงานจึงเป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งของวิสัยทัศน์และศักยภาพทางปัญญาของผู้นำแต่ละคน ภาพสะท้อนว่า...ผู้นำท่านนั้นมีความมุ่งมั่นในการบริหารบ้านเมืองมากน้อยเพียงใด...หรือว่ามุ่งหวังแต่เพียงประโยชน์ส่วนตนแต่เพียงเท่านั้น?
มีศักยภาพและสติปัญญาในการบริหารงานอย่างไร...หรือว่าประคองสถานการณ์ไปโดยผลงานส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นจากเหล่าบรรดามดงานผู้ปฏิบัติงานทั้งสิ้น หาใช่เพราะความสามารถและความชาญฉลาดในการทำงานของผู้นำไม่?
นับเป็นเรื่องน่าเศร้า หากองค์กรใดมีผู้นำที่ขาดคุณสมบัติ เพราะนอกจากจะทำให้ภารกิจเป้าหมายที่ควรบรรลุผลสำเร็จกลับไม่ประสบความสำเร็จแล้วนั้น ยังทำให้ผู้ที่ (จำเป็นต้องตกอยู่ภาย) ใต้บังคับบัญชาทำงานอย่างยากลำบาก ขาดขวัญและกำลังใจอีกด้วย กล่าวคือ นอกเหนือจากการมีอุปสรรคในด้านอื่นๆ แล้วนั้น ตัวผู้นำเองก็กลับกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการทำงานอีกด้วย
คุณธรรม จริยธรรม ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในตนเองของตำรวจที่จะก้าวขึ้นสู่สถานะของความเป็นผู้นำหน่วยก็เป็นคุณลักษณะที่สำคัญอย่างยิ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นคุณลักษณะแก่นแกนพื้นฐานเสียด้วยซ้ำสำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สมควรได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้นำ
“เหลียวมองไปรอบตัว หาไม่พบคนที่สามารถช่วยงานได้!!” นายตำรวจใหญ่พูดพร้อมส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกระอาระคนผิดหวัง
ในเมื่อท่านอยากได้คนทำงานที่มีความสามารถ แต่ทำไมท่านไม่กล้าที่ใช้กลยุทธ์เพื่อต่อสู้ ต่อต้าน ต่อรอง หรือขัดขืนกับอำนาจที่มิชอบ อำนาจที่่ส่งผลกระทบให้บรรดาผู้นำร่วมทีมเต็มไปด้วยผู้อ่อนอาวุโสทั้งในด้านอายุราชการ ประสบการณ์ ความสามารถ ความมุ่งมั่นทุ่มเท และความเสียสละในการทำงาน?!?
เมื่อท่านมีส่วนร่วมในการเลือก "ขน" เหล่านี้มาประดับมาพยุงเรือนร่าง เลือกเพื่อนร่วมทีมที่มีความรู้ความสามารถ(เพียงเท่านี้) ซึ่งมิใช่คนที่เหมาะสมที่สุดมาทำงาน...ท่านจึงมิอาจปฏิเสธผลกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการกระทำการดังกล่าวได้ ในเมื่อท่านเลือกที่จะอยู่ในสภาวะของผู้ที่ยอมจำนนและปล่อยวางภาวะผู้นำที่กล้าหาญ ท่านเป็นผู้เลือกที่จะเป็นผู้รอดที่ยอมจำนน?!?
“องค์กรตำรวจมีกำลังพลกว่า ๒ แสนนาย ผลงานสำคัญๆ ไม่ได้อยู่ที่คนกลุ่มเล็กๆ บนยอดพีระมิดของงองค์กร” นายตำรวจพูดปลอบใจ
“แล้วไพร่พลเขามีนายไว้ทำอะไร?” คำถามที่สวนกลับทันควัน ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นั้น "ต่างคนต่างคิดตามประสบการณ์และจินตนาการว่า...บรรดานายๆ ของตำรวจนั้นมีความจำเป็นอย่างไรสำหรับไพร่พลผู้ใต้บังคับบัญชา”
“มีไว้นั่งสั่งและบี้มด(งาน)ไง” คำพูดเสียดสีประชดประชันของนายตำรวจสะท้อนให้เห็นความรู้สึกและทัศนคติต่อบรรยากาศในการทำงาน
“ไม่มีไพร่พลเลว มีแต่แม่ทัพนายกองเลว” ดิฉันเชื่อวาทกรรมของผู้นำยุทธจักรสีกากี พล.ต.อ.
การพร่ำบ่นหรือก่นด่าความรุนแรงหรือความไม่ยุติธรรมในสังคมหรือองค์กรนั้นมิใช่ทางออกของผู้มีปัญญา หากแต่การทำความเข้าใจถึงรากเหง้าที่มาของความไม่ยุติธรรมนั้นพร้อมทั้งการมีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ท้อแท้ หวั่นไหวเพื่อให้เกิดสติปัญญาความคิด ไหวพริบปฏิภาณที่ทะลุกรอบซึ่งครอบงำองค์กรตำรวจอยู่ รวมถึงการแสวงหาแนวร่วมทางอุดมการณ์ แสวงหาอำนาจเพื่อสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาองค์กรตำรวจให้เป็นเสมือนเบ้าหลอมที่มีประสิทธิภาพและทรงพลังในการก่อร่างผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ทำงานเพื่อรักษาความสงบภายในประเทศเพื่อให้ประชาชนดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและสามารถต่อต้าน ขัดขืน และต่อรองอำนาจภายนอกองค์กรที่มารุกรานได้ในที่สุดต่างหากที่เป็นสิ่งที่ควรทำ (ถึงแม้จะยากยิ่ง)
ตำรวจไทยมีภาระงานที่หนักอึ้ง...กำลังพล ๒ แสนนาย จำเป็นต้องดูแล ปกป้องคุ้มครองประชาชนกว่า ๖๐ ล้านคน มิใช่ดูแลคนเพียงคนเดียว ดังนั้น การส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือกำลังพลตำรวจให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นสิ่งที่แม่ทัพนายกองพึงตระหนัก!!!
มิเช่นนั้น ผลงานที่ล้มเหลวอันเนื่องมาจากการบัญชาการของท่านจะมาอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของไพร่พลไม่ได้ เพราะไม่มีไพร่พลเลวมีแต่แม่ทัพนายกองที่เลว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น