"... ผมเห็นแมะเอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ดีที่สุดในบ้านเราเท่าที่จะหาได้มารีดแล้วพับอย่างทะนุถนอม ถามแมะว่าเตรียมเอาไปทำอะไร แมะบอกว่าวันพรุ่งนี้ (๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๒) จ้าว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) จะเสด็จเยี่ยมราษฎรที่ตำบลปากน้ำประแส (อำเภอแกลง ระยอง) ผมถามต่อไปว่าแล้วเกี่ยวกับผ้าเช็ดหน้าอย่างไร แมะบอกว่า...”
.......
ช่วงปลายปี พ.ศ.๒๕๑๒ ผมเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ ที่โรงเรียนวัดพังราด (เพิ่มราษฎร์รังสรรค์) ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิด การดำเนินชีวิตของพวกเราที่นี่ก็เป็นปกติเหมือนเช่นทุกวันเดือนปีที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมดูแล้วค่อนข้างแปลกใจก็คือสังเกตเห็นว่าพ่อแม่,คนโต (ผู้ใหญ่) , ผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่จะนำเสื้อผ้าดีๆ ที่แต่ละคนพอจะหาได้ในบ้านมาซัก มาตาก มารีด มาทำความสะอาดกันแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรใคร คิดในใจว่าคงจะมีงานบุญหรืองานอะไรสำคัญสักอย่างหนึ่งมากกว่า จนกระทั่งช่วงโรงเรียนเลิกของวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๒ เมื่อเดินไปถึงบ้านผมเห็นแมะ (แม่) เอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ดีที่สุดในบ้านเราเท่าที่จะหาได้มารีดแล้วพับอย่างทะนุถนอม ถามแมะว่าเตรียมเอาไปทำอะไร แมะบอกว่าวันพรุ่งนี้ (๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๒) จ้าว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) จะเสด็จเยี่ยมราษฎรที่ตำบลปากน้ำประแส (อำเภอแกลง จังหวัดระยอง) ผมถามต่อไปว่าแล้วเกี่ยวกับผ้าเช็ดหน้าอย่างไร แมะบอกว่าเช้ามืดวันพรุ่งนี้เพาะ (พ่อ),แมะและคนในหมู่บ้านเกือบทั้งหมดจะเดินทางไปรับเสด็จพระองค์ท่านที่นั่นซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่หลวงที่เกิดมาชาตินี้จะได้มีโอกาสเห็นพระองค์ท่านด้วยตาตนเองสักครั้งหนึ่งโดยผ้าเช็ดหน้านี้จะเอาไปฝากไว้กับคนเฒ่าคนแก่ซึ่งมีโอกาสได้นั่งรับเสด็จใกล้ชิดจุดที่พระองค์ท่านจะเสด็จผ่านเพราะเพาะกับแมะซึ่งตอนนั้นยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่คงต้องเฝ้ารับเสด็จอยู่หลังๆ และไกลพระองค์ท่านเนื่องจากคนต้องไปรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่นแน่นอน และเมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ๆ ที่ราษฎรเข้าเฝ้าอยู่นั้น คนเฒ่าๆ แก่ๆ หรือคนที่นั่งใกล้ชิดก็จะนำผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าที่ดีที่สุดที่ตัวเองพอจะหาได้ไปปูวางตามทางที่พระองค์จะเสด็จผ่านและพระองค์ท่านก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เหยียบผ้าเหล่านั้นเพื่อพวกเราจะได้นำไปกราบไหว้บูชาต่อไป
.......
ช่วงปลายปี พ.ศ.๒๕๑๒ ผมเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ ที่โรงเรียนวัดพังราด (เพิ่มราษฎร์รังสรรค์) ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิด การดำเนินชีวิตของพวกเราที่นี่ก็เป็นปกติเหมือนเช่นทุกวันเดือนปีที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมดูแล้วค่อนข้างแปลกใจก็คือสังเกตเห็นว่าพ่อแม่,คนโต (ผู้ใหญ่) , ผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่จะนำเสื้อผ้าดีๆ ที่แต่ละคนพอจะหาได้ในบ้านมาซัก มาตาก มารีด มาทำความสะอาดกันแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรใคร คิดในใจว่าคงจะมีงานบุญหรืองานอะไรสำคัญสักอย่างหนึ่งมากกว่า จนกระทั่งช่วงโรงเรียนเลิกของวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๒ เมื่อเดินไปถึงบ้านผมเห็นแมะ (แม่) เอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ดีที่สุดในบ้านเราเท่าที่จะหาได้มารีดแล้วพับอย่างทะนุถนอม ถามแมะว่าเตรียมเอาไปทำอะไร แมะบอกว่าวันพรุ่งนี้ (๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๒) จ้าว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) จะเสด็จเยี่ยมราษฎรที่ตำบลปากน้ำประแส (อำเภอแกลง จังหวัดระยอง) ผมถามต่อไปว่าแล้วเกี่ยวกับผ้าเช็ดหน้าอย่างไร แมะบอกว่าเช้ามืดวันพรุ่งนี้เพาะ (พ่อ),แมะและคนในหมู่บ้านเกือบทั้งหมดจะเดินทางไปรับเสด็จพระองค์ท่านที่นั่นซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่หลวงที่เกิดมาชาตินี้จะได้มีโอกาสเห็นพระองค์ท่านด้วยตาตนเองสักครั้งหนึ่งโดยผ้าเช็ดหน้านี้จะเอาไปฝากไว้กับคนเฒ่าคนแก่ซึ่งมีโอกาสได้นั่งรับเสด็จใกล้ชิดจุดที่พระองค์ท่านจะเสด็จผ่านเพราะเพาะกับแมะซึ่งตอนนั้นยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่คงต้องเฝ้ารับเสด็จอยู่หลังๆ และไกลพระองค์ท่านเนื่องจากคนต้องไปรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่นแน่นอน และเมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ๆ ที่ราษฎรเข้าเฝ้าอยู่นั้น คนเฒ่าๆ แก่ๆ หรือคนที่นั่งใกล้ชิดก็จะนำผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าที่ดีที่สุดที่ตัวเองพอจะหาได้ไปปูวางตามทางที่พระองค์จะเสด็จผ่านและพระองค์ท่านก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เหยียบผ้าเหล่านั้นเพื่อพวกเราจะได้นำไปกราบไหว้บูชาต่อไป
นอกจากเตรียมผ้าเช็ดหน้าแล้วแมะยังเอาเสื้อผ้าที่ใหม่และดีที่สุดของเพาะกับแมะที่ซักและตากไว้นอกบ้านจนแห้งดีแล้วมารีดจนเรียบ โดยแมะจะพิถีพิถันเป็นพิเศษกว่าทุกครั้งที่เคยทำ เสื้อผ้าที่ว่านี้ส่วนใหญ่เพาะกับแมะจะนำไปใส่ในวันสำคัญๆ เช่นวันทำบุญใหญ่ที่วัด แทบไม่ได้ใช้ในงานอื่นๆ นัก แมะบอกว่าเพาะกับแมะจะใช้ใส่ไปรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันพรุ่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นงานสำคัญและเป็นมงคลยิ่งแห่งชีวิตจึงต้องเน้นและพิถีพิถันหน่อย เมื่อรีดเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เอาไปเก็บไว้ในตู้
คืนนั้นช่วงก่อนนอนเพาะพูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้พวกเราลูกๆ ซึ่งนอนเรียงติดกันภายในบ้านฟังโดยบอกว่าพระองค์ท่านทรงทำงานหนักเพื่อพวกเราชาวไทย ไม่ว่าจะไกลขนาดไหน เพียงใด พระองค์ก็ยังเสด็จไปเยี่ยมถึงที่ อย่างตำบลปากน้ำประแสซึ่งอยู่ห่างจากตำบลพังราดบ้านเราราวๆ ๑๐ กิโลเมตรและค่อนข้างกันดารพระองค์ท่านก็ยังทรงพระเมตตามาเยี่ยมเยียนเพื่อจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์ท่านอย่างแท้จริงในวันพรุ่งนี้ พวกเราคนอำเภอแกลงทุกคนรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะฉะนั้นจึงสมควรที่ลูกๆ จะต้องเป็นคนดี ตั้งใจเรียนหนังสือหนังหา ไม่ประพฤติหรือกระทำอะไรที่ไม่ถูกต้องเป็นอันขาดเพื่อพระองค์ท่าน
พวกเรานอนฟังพร้อมเหลือบนัยน์ตาไปยังพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านซึ่งประดิษฐ์เคียงคู่กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่หิ้งพระบูชาด้วยความปลื้มปีติ พระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์นั้นฉายไว้ซึ่งความเมตตาแก่พสกนิกรชาวไทย เป็นพลังที่คนที่เห็นจะมีความมุมานะ ตั้งใจประกอบสัมมาอาชีพหรือทำงานในหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อพระองค์ท่าน พวกเราทุกคนในบ้านตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครเห็นพระองค์จริงของทั้งสองพระองค์มาก่อนเลย ส่วนใหญ่จะได้ยินได้ฟังจากวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าๆ ในบ้านถึงพระราชกรณียกิจว่าทรงทำอะไรบ้าง ซึ่งจะเห็นว่าพระองค์ทรงทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดอย่างไม่ทรงย่อท้อหรือเหน็ดเหนื่อย
รุ่งเช้าของวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ เพาะกับแมะตื่นนอนราวๆ ตี ๓ แล้วอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดที่แมะเตรียมไว้เมื่อวานพร้อมเอาน้ำหอมซึ่งร้อยวันพันปีพวกเราลูกๆ แทบไม่เคยเห็นมาฉีดจนหอมไปทั้งตัว ใบหน้าทาแป้งอย่างดี ผมเผ้าหวีจนเรียบแปล้เสร็จแล้วบอกพวกเราว่าเพาะกับแมะและคนโตในหมู่บ้านจะไปรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวกันโดยจะออกไปตอนนี้ (ราวๆ ตี ๔) เมื่อถึงเวลาให้ลูกๆ ไปโรงเรียนกันเองก่อนนะ อาหงอาหารแมะเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเพาะกับแมะก็ออกเดินทางโดยใช้รถจักรยานสองล้อของบ้านซึ่งมีอยู่คันเดียวเป็นพาหนะ เพาะเป็นคนขี่แมะเป็นคนซ้อนพร้อมกับคนโตในหมู่บ้านอีกเป็นจำนวนมาก
ตำบลปากน้ำประแสตรงจุดที่พระองค์ท่านจะเสด็จในวันนั้นอยู่ห่างจากบ้านพังราดไทยบ้านเราราวๆ ๑๐ กิโลเมตรซึ่งปัจจุบันอาจจะมองว่าใกล้ ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว แต่สำหรับสมัยเมื่อก่อนนั้นมันไม่ใช่ ถือว่าไกลมากเพราะรถราก็แทบไม่มี ถนนจากบ้านเราที่จะไปต้องผ่านบ้านพังราดไทย-เกาะลอย-คลองปูนซึ่งมีระยะทางราวๆ ๕ กิโลเมตรก็เป็นเพียงถนนลูกรัง ขับขี่ค่อนข้างลำบาก พอออกจากบ้านคลองปูนไปปากน้ำประแสร์ซึ่งมีระยะทางราว ๕ กิโลเมตรเศษถนนถึงค่อยดีหน่อยเป็นถนนราดยางมะตอยแล้ว แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรเหมือนกันกว่าจะไปถึง
เช้าวันนั้นเมื่อพวกเราถึงโรงเรียนแล้วแทบทุกคนต่างคุยกันถึงเรื่องที่พ่อแม่ญาติพี่น้องเดินทางไปรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนี้ โดยที่ทุกคนเล่ามาจะเหมือนๆ กันคือพ่อแม่ญาติพี่น้องของตนเองใส่เสื้อผ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ไปรับเสด็จ ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เอิบอิ่มประมาณนี้ และต่อมาเมื่อเคารพธงชาติเสร็จแล้วครูเวรประจำวันนั้นได้ขึ้นมาพูดหน้าเสาธงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวให้พวกเราฟังและเน้นย้ำให้พวกเราทุกคนตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์และผู้ใหญ่เพื่อถวายแด่พระองค์
หลังเลิกเรียนวันนั้นเมื่อผมกลับถึงบ้านได้สักพักใหญ่ๆ เพาะกับแมะและคนโตในหมู่บ้านซึ่งไปเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เดินทางมาถึงด้วยหน้าตาที่มีแต่รอยยิ้มอย่างมีความสุขแม้ว่าเนื้อตัวของเพาะจะเต็มไปด้วยเหงื่อที่ต้องปั่นจักรยานไปกลับร่วมๆ ๒๐ กิโลก็ตาม เพาะกับแมะเล่าให้ฟังว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงปากน้ำประแสเพื่อทรงประกอบพิธีประดิษฐานพระรูปพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เมื่อช่วงบ่ายแล้วเสด็จเยี่ยมราษฎรที่มาเฝ้าบริเวณนั้นอย่างล้นหลาม “คนเป็นหนอนเลย” แมะบอกเรา ซึ่งความหมายก็คือมีคนมืดฟ้ามัวดินเต็มไปหมดจนแทบจะหาที่ยืนไม่ได้ประมาณนั้น เพาะกับแมะเฝ้ารับเสด็จตรงจุดที่ห่างจากพระองค์ค่อนข้างมากจนมองเห็นพระองค์เล็กนิดเดียวและได้เห็นเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นแวบเดียวที่มีความสุข ปลาบปลื้มปีติและไม่อาจลืมเลือนได้จวบจนชีพนี้จะหาไม่ วันนั้นพระองค์ทรงเครื่องแบบทหารเรือที่สง่างาม เวลาที่พระองค์เสด็จผ่านเพาะกับแมะและผู้คนทุกคนต่างยกมือท่วมหัวเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญๆๆ” โดยบางคนซึ่งก็รวมถึงเพาะกับแมะด้วยน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ระหว่างที่เล่าถึงตอนนี้เพาะกับแมะก็น้ำตาไหลออกมาด้วย เพาะกับแมะบอกว่าชาตินี้ถึงแม้จะตายก็คงนอนตายตาหลับแล้วเพราะได้เห็นพระองค์ท่านกับตาแม้จะเพียงแวบเดียวก็ตาม
สำหรับผ้าเช็ดหน้าที่แมะบอกว่าจะฝากให้คนเฒ่าคนแก่ซึ่งรับเสด็จอยู่แถวหน้าเพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเหยียบขณะเสด็จพระดำเนินผ่านนั้นแมะค่อยๆ บรรจงหยิบออกมาจากกระเป๋าถือที่นำติดตัวไปด้วยอย่างระมัดระวังให้พวกเราดู เพาะบอกว่าก่อนไปได้ฝากไว้ที่ยาย....(ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) ซึ่งขณะนั้นอายุราวๆ ๘๐ ปีกว่าที่พวกเราคิดกันว่ายายคงได้นั่งแถวหน้าใกล้ๆ จุดที่พระองค์จะเสร็จผ่านซึ่งก็เป็นจริงตามคาด วันนั้นนอกจากยายจะเอาผ้าเช็ดหน้าของบ้านเราและคนอื่นๆ อีก ๒-๓ ผืนติดมือไปแล้วยายยังเอาผ้าเช็ดหน้าของยายเองไปวางตรงลาดพระบาทที่พระเจ้าอยู่จะเสด็จผ่านด้วยเพื่อพระองค์จะได้ทรงเหยียบและพวกเราจะนำไปสักการบูชาต่อไป พวกเรามองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอย่างปลื้มปีติเสมือนหนึ่งว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในขณะนั้นด้วยเนื่องจากเรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงเหยียบแล้วจะต้องมีเศษละอองธุลีพระบาทติดอยู่ในผ้านั้นซึ่งก็เปรียบเสมือนพระองค์ท่านนั่นเอง โดยผ้าผืนนั้นเพาะกับแมะได้เชิญไว้บนพานที่หิ้งพระบูชาภายในบ้านตั้งแต่เย็นวันนั้นพร้อมคอยดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าเดี๋ยวนี้เพาะจะเสียชีวิตไปได้ ๑๗ ปีแล้วก็ตามแมะกับพวกเราก็จะยังคงดูแลรักษาต่อไปตราบนานเท่านานด้วยความเชื่อว่าพระองค์ท่านได้อยู่กับพวกเรา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นศูนย์รวมชีวิตจิตใจและคอยปกปักรักษาคุ้มครองพวกเราพสกนิกรชาวไทยตลอดไป
ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น