สมัยเราเรียนชั้น ป.๑-๔ ที่โรงเรียนวัดพังราด (เพิ่มราษฎร์รังสรรค์)
บ้านเกิด ในการสอบทุกครั้งไม่ว่าจะสอบอะไรก็ตามเราไม่เคยพ้นการได้ “ที่ ๑”
ไปได้เลย ในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่พวกเราเรียกมันว่า “ไอ้เมื่อย”
ก็ไม่เคยพ้นจากการเป็นที่โหล่ไปได้เลยเช่นกัน
เรียกว่าครูต้องเข็นให้ขึ้นชั้นอย่างทุลักทุเลทุกเทอมและทุกปี
“ไอ้เมื่อย” อ่านหนังสือแทบไม่ออก เขียนหนังสือแทบไม่ได้
แต่...คนเราไม่ใช่ว่าสมองเรื่องการเรียนไม่เก่งแล้วอย่างอื่นต้องไม่เก่งตาม
ไปด้วย “ไอ้เมื่อย”
เพื่อนเราคนนี้หัวมีแววด้านช่างยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอจบ ป.๔ ได้สัก
๑-๒ ปีไอ้เมื่อยขอเพาะกะแมะเขาไปเรียนที่ “ส.สะพานมอญ”
กรุงเทพซึ่งเป็นโรงเรียนสอนขับรถยนต์,ซ่อมเครื่องยนต์ชื่อดังสมัยนั้น
ไอ้เมื่อยเรียนจบที่นี่มาด้วยคะแนน “เป็นที่ ๑” เสร็จแล้วก็ออกไปเปิดอู่ซ่อมรถเล็กๆ
ในอำเภอแกลงหาเลี้ยงชีพมีลูกค้ามาอุดหนุนคราค่ำ
ด้วยดวงคนจะรุ่งพุ่งแรงก็ได้
ช่วงนั้นมีญี่ปุ่นคนหนึ่งมาเที่ยวที่อำเภอแกลงและรถยนต์เสียจึงเอาไปให้ไอ้
เมื่อยซ่อมที่อู่ของมัน
ระหว่างซ่อมญี่ปุ่นคนนั้นซึ่งรู้ตอนหลังว่าเป็นนายช่างใหญ่บริษัทรถยนต์
ยี่ห้อดังของญี่ปุ่นเห็นแววและฝีมือจึงเอ่ยปากชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกันที่
บริษัทใหญ่ในญี่ปุ่น
ไอ้เมื่อยตกปากรับคำทันทีและบินไปพร้อมกับนายช่างคนนั้นหลังจากนั้นราว ๔-๕
วันโดยญี่ปุ่นออกค่าเครื่องบินและค่าใช้จ่ายให้เสร็จสรรพ
อีกราว ๕-๖ ปีผ่านไป “ไอ้เมื่อย”
ก็บินกลับเมืองไทยพร้อมวิชาความรู้ด้านช่างยนต์ที่เพิ่มพูนขึ้นชนิดเรียกว่า
หาตัวจับยาก
เมื่อกลับมาเมืองไทยไอ้เมื่อยก็ขยายกิจการอู่ซ่อมรถของมันจนใหญ่โต
มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสายจนหลายๆ คนเปลี่ยนการเรียกมันจาก
“ไอ้เมื่อย” เป็น “ไอ้เศรษฐีเมื่อย” จนถึงทุกวันนี้
เยี่ยมมาก “ไอ้เศรษฐีเมื่อย” คนสอบได้ที่โหล่ของรุ่นแต่รวยที่สุดในรุ่นเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น