วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

ไอ้เมื่อย (๑๗ เมษายน ๒๕๕๘)

สมัยเราเรียนชั้น ป.๑-๔ ที่โรงเรียนวัดพังราด (เพิ่มราษฎร์รังสรรค์) บ้านเกิด ในการสอบทุกครั้งไม่ว่าจะสอบอะไรก็ตามเราไม่เคยพ้นการได้ “ที่ ๑” ไปได้เลย ในขณะเดียวกันก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่พวกเราเรียกมันว่า “ไอ้เมื่อย” ก็ไม่เคยพ้นจากการเป็นที่โหล่ไปได้เลยเช่นกัน เรียกว่าครูต้องเข็นให้ขึ้นชั้นอย่างทุลักทุเลทุกเทอมและทุกปี


 “ไอ้เมื่อย” อ่านหนังสือแทบไม่ออก เขียนหนังสือแทบไม่ได้ แต่...คนเราไม่ใช่ว่าสมองเรื่องการเรียนไม่เก่งแล้วอย่างอื่นต้องไม่เก่งตาม ไปด้วย “ไอ้เมื่อย” เพื่อนเราคนนี้หัวมีแววด้านช่างยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอจบ ป.๔ ได้สัก ๑-๒ ปีไอ้เมื่อยขอเพาะกะแมะเขาไปเรียนที่ “ส.สะพานมอญ” กรุงเทพซึ่งเป็นโรงเรียนสอนขับรถยนต์,ซ่อมเครื่องยนต์ชื่อดังสมัยนั้น ไอ้เมื่อยเรียนจบที่นี่มาด้วยคะแนน “เป็นที่ ๑” เสร็จแล้วก็ออกไปเปิดอู่ซ่อมรถเล็กๆ ในอำเภอแกลงหาเลี้ยงชีพมีลูกค้ามาอุดหนุนคราค่ำ

ด้วยดวงคนจะรุ่งพุ่งแรงก็ได้ ช่วงนั้นมีญี่ปุ่นคนหนึ่งมาเที่ยวที่อำเภอแกลงและรถยนต์เสียจึงเอาไปให้ไอ้ เมื่อยซ่อมที่อู่ของมัน ระหว่างซ่อมญี่ปุ่นคนนั้นซึ่งรู้ตอนหลังว่าเป็นนายช่างใหญ่บริษัทรถยนต์ ยี่ห้อดังของญี่ปุ่นเห็นแววและฝีมือจึงเอ่ยปากชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกันที่ บริษัทใหญ่ในญี่ปุ่น ไอ้เมื่อยตกปากรับคำทันทีและบินไปพร้อมกับนายช่างคนนั้นหลังจากนั้นราว ๔-๕ วันโดยญี่ปุ่นออกค่าเครื่องบินและค่าใช้จ่ายให้เสร็จสรรพ

อีกราว ๕-๖ ปีผ่านไป “ไอ้เมื่อย” ก็บินกลับเมืองไทยพร้อมวิชาความรู้ด้านช่างยนต์ที่เพิ่มพูนขึ้นชนิดเรียกว่า หาตัวจับยาก เมื่อกลับมาเมืองไทยไอ้เมื่อยก็ขยายกิจการอู่ซ่อมรถของมันจนใหญ่โต มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสายจนหลายๆ คนเปลี่ยนการเรียกมันจาก “ไอ้เมื่อย” เป็น “ไอ้เศรษฐีเมื่อย” จนถึงทุกวันนี้

เยี่ยมมาก “ไอ้เศรษฐีเมื่อย” คนสอบได้ที่โหล่ของรุ่นแต่รวยที่สุดในรุ่นเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น