วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คืนนี้ที่แม่จริม (๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๘)

กินข้าวกินปลา อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้า แล้วมาที่นี่
งานไม่มีจ้ะ แต่ว่าที่มี นั้นคือหน้าที่ มาเยี่ยมมาเยือน
เจ้าหน้าที่เรา อยู่กันดีไหม พูดคุยกันไป จะได้มีเพื่อน
อะไรไม่ดี มีหน้าที่เตือน เพราะเราเสมือน ครอบครัวเดียวกัน

เหมือนเดิมครับพ่อแม่พี่น้องที่รัก คืนนี้ช่วงสองทุ่มเศษๆ ผมก็มานั่งแหมะมันอยู่ที่โรงพักแม่จริมเฉกเช่นทุกๆ คืนที่ผ่านมานั่นแหละ สนุกดี ชีวิตมีรสชาติขึ้นอีกเยอะ

ที่โรงพักแม่จริมคืนนี้เงี้ยบเงียบ ไม่มีใครนอกจากเจ้าหน้าที่เวรยามที่อยู่กัน ๒-๓ คน ผู้ต้องหาในห้องขังก็ไม่มี แต่อันหลังนี้ดีครับมันเป็นดัชนีวัดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องในท้องที่ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว แม่จริมก็งี้แหละ ร้อยวันพันปีถึงจะมีคดี มีผู้ต้องหากับเขาซักที พี่น้องอยู่กันอย่างสงบร่มเย็น ขโมยขโจรแทบไม่มี แต่ตำรวจเราก็ต้องหมั่นออกตรวจตราดูแลอย่าให้มีเหตุเกิดขึ้นได้ซึ่งพวกเราก็ทำกันอย่างสม่ำเสมอเป็นปกติครับ

แม่จริม เป็นเมืองเล็ก , ใช่เมืองเอก หรือเมืองหลัก
พี่น้อง ต่างปองรัก , และสมัคร สมานฉันท์
แม่จริม เมืองสบาย , อยู่ทางใต้ จังหวัดน่าน
ทุกคืน และทุกวัน , เหตุร้ายนั้น แทบไม่มี
แม่จริม เมืองสุขสันต์ , แทบทุกวัน และทุกวี่
พี่น้อง ประชาชี , ล้วนแต่มี ซึ่งรอยยิ้ม
แม่จริม เมืองสมบูรณ์ , เมืองนอนอุ่น และกินอิ่ม
สุขแท้ แม่จริม , ดั่งฟังขิม บรรเลงมา
แม่จริม จะปลอดภัย , สุขสบาย พร้อมทั่วหน้า
ตำรวจ ต้องตรวจตรา , และรักษา คุ้มกันภัย
แม่จริม ณ ยามนี้ , ใช่เพียงมี โรงพักไม่
อย่างน้อย ผมคนไง , พร้อมรับใช้ และดูแล


สุขเถิดประชา ตำรวจกล้าจะคุ้มภัย
"คืนนี้ที่แม่จริม" กาพย์ยานี ๑๑ โดยสุพจน์ มัจฉา

............
ไร้ซึ่งแสงสี ไม่มีสีสัน ตกย่ำค่ำพลัน เข้าฐานบ้านช่อง 
ไร้คนสนใจ มาหมายเมียงมอง หมดสิทธิ์เรียกร้อง ขอความเมตตา
ไร้ซึ่งเส้นสาย ไร้ใครมองเห็น เช้าย่ำค่ำเย็น ไร้คนเห็นหน้า 
ไร้ซึ่งชื่อเสียง เพียงเอ่ยวาจา เขาคงถามว่า สูเจ้าเป็นใคร
มีเส้นมีสาย เขาย้ายหนีกัน คงเหลือเพียงฉัน และมิตรสหาย
อยู่เหย้าเฝ้าแม่ จริมเดียวดาย ตะโกนให้ตาย ก็ไม่ได้ยิน
ช่างเถอะช่างเขา เราทำหน้าที่ ที่ตัวเรามี ให้ดีพร้อมสิ้น
จะสนใจไย ใครเขาได้ยิน เชื่อว่าฟ้าดิน คงเป็นพยาน
ไร้ซึ่งแสงสี ไร้ซึ่งเส้นสาย ใช่ตายที่ไหน ใช่ไหมล่ะท่าน
สู้สู้สู้สู้ จงสู้กับมัน จนกว่าเรานั้น วายปราณสิ้นลม


...นายทั้งหลายต้องตั้งคำถามว่า ต้องการให้ลูกน้องมาใกล้ชิดเพื่อดูแลนาย และสุดท้ายก็วิ่งเต้นขอยกเว้นกฎเกณฑ์ หรือใช้ช่องว่างข้อจำกัดของกฎเกณฑ์เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ด้วยลีลาทั้งอ้อนวอน ทั้งกดดันนาย หรือว่าต้องการให้ลูกน้องไปมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนรัก...

 ...ถ้านายผู้มีอำนาจของตำรวจไม่แข็งแกร่งพอ ต้องการการดูแล ก็จงปล่อยทิ้งประชาชนไปเถอะ หากแต่ก่อนที่จะทิ้งภารกิจหน้าที่เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกน้องที่ใกล้ชิดนั้น นายก็ต้องไม่ลืมสัจธรรมความจริงข้อหนึ่งที่ว่า อำนาจมิได้อยู่ค้ำฟ้า คงทน ถาวร หากแต่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทแห่งเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยเช่นกัน...

... เมื่อท่านหมดอำนาจ บุคคลที่คาดหวังและกดดันท่าน รวมถึงหลอกล่อดูแลปรนเปรอจนทำให้ท่านหลงลืมหน้าที่ของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดีก็จะหายวับไปกับตาด้วย...

...ความสัมพันธ์ที่สนิทเสน่หาแบบเทียมๆ เป็นแค่เพียงภาพลวงตา สู้หันกลับมาพัฒนาระบบงาน กำหนดกฎเกณฑ์กติกาในการบริหารงานบุคคลให้มีช่องว่างช่องโหว่น้อยที่สุดเพื่อให้ตำรวจผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มีความสุขก่อนที่จะพ้นจากวาระหน้าที่ไป ไม่ว่าจะด้วยเกษียณอายุ หรือด้วยเหตุใดก็ตามที...

ส่วนหนึ่งในบทความ "ย้ายตำรวจหรือว่าตำรวจทิ้งประชาชน? : โลกตำรวจ โดยผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข" http://www.komchadluek.net/detail/20150603/207374.html 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น