วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เช้านี้ที่เวียงป่าเป้า (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)

งานช่วงเช้าที่ผ่านมาเหมือนเดิมครับแทบไม่มีจริงๆ มีเพียงแค่้งานที่เจ้าหน้าที่นำมาเสนอเพื่อทราบซึ่งก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับแวดวงตำรวจนั่นแหละอยู่ ๒ เรื่องก็เซ็น "ทราบ" ตามระเบียบ อีกเรื่องเป็นการเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาที่ตำรวจคนหนึ่งขออนุญาตลากิจ เรื่องนี้ก็เพียงแค่เกษียรหนังสือว่า "เห็นควรอนุญาตตามร้องขอ" แล้วเซ็นชื่อในช่องที่กำหนด เท่านั้นจริงๆ ครับงานที่มีเช้านี้ แต่เพื่อไม่ให้เวลาว่างเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ผมเลยนำโปรแกรมฐานข้อมูลเปรียบเทียบปรับคดีจราจรที่เขียนไว้แจกจ่ายให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตำรวจใช้มาปรับปรุงแก้ไขในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้เสร็จแล้วช่วงบ่ายๆ จะนำออกแจกจ่ายให้ใช้กัน

เสร็จงานนั้นแล้วเปิดคอมดูข้อมูลข่าวสารเรื่ืองราวต่างๆ ทาง Internet ได้ความรู้มากมายเลยทีเดียว สำคัญก็คือข้อมูลหรือเรื่องราวหลายอย่างนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานตำรวจได้สบายๆ ตั้งใจว่าจะศึกษาดูรายละเอียดเรื่ืองที่น่าสนใจอีกครั้งช่วงมีเวลา ก็ต้องขอบคุณท่านผู้รู้นักคิดนักเขียนทั้งหลายที่อุตส่าห์มีน้ำใจนำมาแบ่งปันกันด้วยนะครับ

ใน Internet ที่เปิดดูมีอยู่เรื่องหนึ่งสะดุดตาสะดุดใจผมมาก เป็นเรื่องตำรวจคนหนึ่งฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชา่ติและผู้บังคับบัญชาหลายคน ซึ่งคิดว่าบางท่านอาจจะอ่านหรือรับรู้รับทราบกันมาบ้างแล้ว น่าสนใจนะครับผมว่าเลยขออนุญาตนำเรื่องราวมาบันทึกไว้ในบล็อกผมอีกทอดหนึ่ง ดังรายละเอียดข้างล่าง

ผกก.สอบสวนกลาง ยื่นฟ้องกราวรูด ผบ.ตร.-ตร.บก.ปคม.รวม 12 นาย อ้างกลั่นแกล้ง ตั้งกก.สอบพักราชการ-โยกย้ายไม่เป็นธรรม

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันนี้ (12 ก.ค.) พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.ฝ่ายอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เป็นโจทก์ฟ้องข้าราชการตำรวจรวม 12 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง และข้าราชการตำรวจประจำกก. 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 148, 149, 157, 162, 172-174, 179, 181, 184, 189,192, 200-202, 267, 268 และ 326

ตามคำฟ้องสรุปว่าเมื่อเดือน ต.ค.2552 ขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่ง ผกก.3 บก.ปคม.ได้จับกุมผู้กระทำผิดเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์รายใหญ่เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2553 ซึ่งมีอิทธิพลโยงใยไปถึงนักการเมืองท้องถิ่น และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ โจทก์ได้ให้ พ.ต.ต.พชญ์เชฎฐ์ จิรวัฒนาวาณิช จำเลยที่ 11 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์เร่งรัดการทำสำนวนสอบสวนทำให้ พ.ต.ต.พชญ์เชฎฐ์ กับนายเขตสยาม เนาวรังสี ผู้ประกอบการร้านค้าคาราโอเกะใน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ไม่พอใจ จึงกลั่นแกล้งโจทก์ด้วยการทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ โดยอ้างว่านายเขตสยาม ถูกโจทก์กับผู้ใต้บังคับบัญชา 2 นาย และบุคคลทั่วไปอีก 1 คน เรียกรับเงินส่วยร้านคาราโอเกะจากผู้ประกอบการกว่า 130 ร้านค้าในภาคอีสานตอนบน กระทั่งบก.ปคม.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องนายเขตสยามในคดีแพ่งและคดีอาญาที่ศาลจังหวัดนครพนม

โดยระหว่างวันที่ 23 ธ.ค.2553 – 28 มิ.ย.2554 จำเลยที่ 1-12 ร่วมกันกระทำการเป็นขั้นตอนเพื่อมุ่งให้โจทก์ต้องถูกตั้งคณะกรรมการทางวินัยจากเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ทั้งที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งบก.ปคม.ได้สรุปผลเพียงว่ายังไม่พบการมีมูลตามคำร้องเรียน แต่จำเลยที่ 1-3 กลับให้ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการสั่งให้พักราชการโจทก์ไว้ก่อนรวมทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายโจทก์ จึงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขณะที่จำเลยที่ 11 ยังพูดจาใส่ร้ายโจทก์ โดยบอกกับนายเขตสยามว่าจะถูกโจทก์อุ้มไปฆ่าจากการกล่าวหาโจทก์ ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาททำให้โจทก์ถูกมองเป็นคนไม่ดี โจทก์จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายด้วย ซึ่งศาลรับเรื่องไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 26 ก.ย.นี้

ภายหลัง พ.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่าตนจะใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมให้ครบทุกด้านเพราะไม่ต้องการให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับเพื่อนตำรวจคนอื่น ซึ่งหลังจากยื่นฟ้องต่อศาลอาญาแล้วจะเดินทางไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวันต่อไป อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ตนได้ยื่นฟ้องคดีอาญากับผู้บังคับบัญชาไปแล้ว 2 คน และหลังจากนี้จะมีการยื่นฟ้องผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว เพิ่มอีกเนื่องจากไม่อยากให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับใครอีก

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับประจำวัีนที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น