วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความทรงจำครั้งเยาว์วัย : ตอน “พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดเทอม” (๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

ทุกๆ ปีวันที่ ๑๑ พฤษภาคมจะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกของเด็กๆ ยกเว้นว่าวันนั้นตรงกับวันหยุดก็จะเลื่อนไปเปิดในวันต่อไป แต่ปีนี้ตรงกับวันจันทร์โรงเรียนจึงเปิดตามที่เคยทำมา

โรงเรียนที่ฉันเรียนคือโรงเรียนวัดพังราด (เพิ่มราษฎร์รังสรรค์) ซึ่งพวกเราเด็กๆ และรุ่นพ่อรุ่นแม่คนบ้านพังราดไทยเรียนโรงเรียนนี้ทุกคน เปิดการสอนถึงชั้น ป.๔ มีครูจอง ทองก้อน เป็นครูใหญ่ ส่วนใหญ่หลังจบ ป.๔ แล้วก็ไม่ได้เรียนต่อที่ไหนกันอีกแต่จะออกไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาตามประสาคนบ้านเรา เหนื่อยหน่อยแต่ทุกคนก็สู้ไม่มีท้อถอย ฉันก็คงอาจจะไม่ได้เรียนต่อชั้นสูงกว่านี้เพราะบ้านฉันยากจน เพาะกะแมะประกอบอาชีพทำนาซึ่งแทบไม่มีรายได้อะไรนอกจากการทำนาปีละครั้งที่ก็แทบไม่พอใช้ เพาะกับแมะฉันจึงต้องหารายได้อื่นๆ เสริมไม่ว่าจะเป็นการปลูกมันสำปะหลัง,การรับจ้างเขาทำงาน เห็นเพาะกับแมะแล้วก็สงสารแทบขาดใจ แกคงเหนื่อยมากแต่ก็ไม่เคยได้ยินคำพูดว่าเหนื่อยว่าท้อออกจากปากเพาะกับแมะแม้แต่คำเดียว ครั้นฉันจะไปช่วยเพาะกับแมะก็บอกว่า “ไม่ต้องเหาะ(หรอก)ไอ้หนู ไอ้หนูยังเด็กเหลือเกินเดี๋ยวเพาะก๊ะแมะทำเอง ไอ้หนูตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีเหอะ” แต่ยังไงก็อดสงสารไม่ได้

พรุ่งนี้โรงเรียนจะเปิดเทอมแล้ว พวกเราเด็กๆ ทุกคนคงจะดีใจเหมือนฉันที่จะได้เจอะเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาซักทีหลังจากปิดได้เกือบ ๓ เดือน เปิดเทอมปีนี้ฉันขึ้น ป.๔ พร้อมกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ๔๗ คนรวมกับรุ่นพี่ที่เรียนตกซ้ำชั้นอีก ๓ รวมเป็น ๕๐ คนซึ่งแต่ละชั้นตั้งแต่ ป.๑ ถึง ป.๔ นักเรียนก็จะมีประมาณนี้ เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติหน้าเสาธงน่ะยืนแถวกันยาวเลยทีเดียว แถวแรกเป็นเด็ก ป.๑ แถวที่สองถึงแถวที่ ๔ จะเป็นเด็ก ป.๒-๔ ตามลำดับ


สายวันนี้แมะเอาชุดนักเรียนของฉันและน้องซึ่งก็เป็นชุดเก่าที่เคยใส่เมื่ออยู่ชั้น ป.๓ และชั้นเดิมของน้องนั่นแหละแต่ยังดีอยู่เพราะพวกเราใช้มันอย่างทะนุถนอมมาเตรียมเพื่อใช้ใส่ในวันพรุ่งนี้ ฉันและน้องมีชุดนักเรียนคนละ ๒ ชุดซึ่งก็เป็นเพียงเสื้อ,กางเกงและเข็มขัดหัวลูกเสือเท่านั้น สำหรับรองเท้าถุงเท้าไม่ต้องพูดถึงพวกเราไม่เคยมี ไม่เคยใส่กันมาตั้งแต่ ป.๑ แล้ว เวลาไปโรงเรียนก็เดินตีนเปล่ากันซึ่งก็เหมือนกับเพื่อนๆ คนอื่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่จะแปลกซะอีกถ้าใครซักคนมีหรือใส่รองเท้าถุงเท้าซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นนะรับรองโดนเพื่อนๆ เย้ากันแน่

ช่วงแรกๆ แมะเอาชุดนักเรียนไปซักกับสบู่ซันไลต์ที่สุขศาลาเขาเคยเอามาแจกชาวบ้านก่อนหน้านี้คนละ ๓-๔ ก้อน การซักแมะตักในบ่อข้างบ้านใส่กะมัง (กาละมัง) แล้วตีสบู่ซันไลต์ลงไปให้เป็นฟองเสร็จแล้วเอาชุดนักเรียนแช่พร้อมขยี้ๆ และแช่ไว้อีกราวครึ่งชั่วโมงก็เอาออกมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วตากแดดไว้แถวนั้น ชุดนักเรียนที่แมะตากนั้นดูหมองๆ ไม่ขาวเหมือนชุดใหม่เพราะใช้มา ๓ ปีแต่ก็ยังดีและถือว่าใหม่สำหรับเรา ชุดที่เห็นนี้ฉันและน้องจะต้องใช้ไปอีกคนละปีเป็นอย่างน้อย

เมื่อชุดนักเรียนแห้งแมะเดินไปเก็บเข้ามาในบ้านแล้วรีดโดยใช้เตารีดตราหัวไก่ที่ข้างในใส่ถ่านไม้โกงกางซึ่งเพาะไปตัดมาจากหลังบ้านและเผาเป็นถ่านสำหรับใช้ในครอบครัว การรีดนั้นฉันเห็นแมะเอาผ้าผวย (ผ้าห่ม) มาพับและปูลงกับพื้นเรือนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้กว้างพอที่จะวางชุดสำหรับรีดได้โดยเอาผ้าโป้ (ผ้าขาวม้า) วางด้านบนอีกทีพร้อมกับเอาเตารีดวางไว้บนจานสังกะสีลูกใหญ่ที่ด้านบนมีใบตองวางอยู่แมะบอกว่าจะทำให้หน้าเตารีดเรียบ สะอาดและรีดผ้าได้รื่นดี แมะใช้เวลารีดชุดนักเรียนให้ฉันกับน้องราวครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ ฉันกับน้องเอามาแขวนผึ่งไว้ในบ้านอีกทีรอเวลาใส่ไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ

ฉันและน้องๆ จะตั้งใจเรียนหนังสือและทะนุถนอมชุดนักเรียนที่เคยใส่มาชุดนี้เพื่อให้สามารถใช้ได้อีก ๑ ปีเป็นอย่างน้อยโดยจะไม่ยอมให้เพาะกับแมะต้องเสียเงินซื้อใหม่ให้ฉัน ฉันรักและสงสารเพาะกับแมะฉัน

ด.ช.สุพจน์ มัจฉา
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น