วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน (๒๐ กันยายน ๒๕๕๔)


อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน

บทความข้างบนคงจะทำให้บางท่านหวนคิดถึงสถานการณ์บางอย่างที่เคยเจอ สำหรับข้าพเจ้าเองบทความข้างบนมีอิทธิพลและมีผลต่อชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก

เจ้าของบทความเป็นคนไทยท่านที่ข้าพเจ้าให้ความเคารพมากท่านหนึ่งถึงแม้นว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอ เพราะท่านผู้นี้ได้เสียชีวิตไปในปี พ.ศ 2505 เจ้าของบทความท่านนี้ก็คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ บุคคลที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าภูมิประวัติความสามารถทั้งทางด้านความคิด สติปัญญามิได้ด้อยไปกว่าท่านใดในโลกของผู้ประสบความสำเร็จท่านอื่นๆ

The Most Admired Person สำหรับเดือนนี้ข้าพเจ้าขอนำประวัติท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการมาเสนอเพื่อเป็นข้อคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีของเรา

ข้าพเจ้าเองนั้นในวัยรุ่นจัดเป็นคนใจร้อน ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ อยากนักที่จะยอมเชื่อใครง่ายๆ ถ้าไม่มีเหตุผลหรือข้อสูจน์ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าเองก็ยึดหลักในการเป็นคนที่จริงใจ ไม่ทำร้ายใคร คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น แต่ในสังคมของมนุษย์ได้พิสูจน์ให้ข้าพเจ้าทราบมาแล้วว่าความจริงใจมิใช่เป็นสิ่งที่เราสามารถนำพามายืนยันเพื่อบอกใครๆให้ยอมรับหรือรับเราเป็นพวกได้ เพราะเขาอาจจะไม่มองว่าสิ่งที่เราเรียกว่าความจริงใจ เป็นความจริงใจสำหรับเขาก็เป็นได้

บทความข้างบนเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการทำเป็นไม่รู้บ้างในบางเรื่องและยอมให้คนที่เรารักหรือเพื่อนของเราได้มีโอกาสนำเสนอความสามารถเสียบ้างยังได้รับความจริงใจมากกว่า

ท่านพลตรีหลวงวิจิตวาทการเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้านับได้ว่าประสบความสำเร็จจากการสร้างตัวเองอย่างแท้จริง การที่เราเอาอย่างบุคคลท่านที่สามารถทำได้จริงในชีวิตของท่านเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุด เพราะท่านเหล่านั้นได้พิสูจน์หลักการที่สอนเราแล้วว่าใช้ได้จริง โปรดอย่าเสียเวลาในชีวิตของท่านไปหลงหรือเชื่อในสิ่งที่แม้นผู้พูดหรือผู้สอนเองก็ยังทำไม่สำเร็จ

ข้าพเจ้าเองพบเจอบุคคลที่ผ่านมามีสามจำพวกที่เจอคราใดก็ให้รู้สึกเหนื่อยใจเสียเพราะเหนื่อยในการสอนหรือแนะนำ

จำพวกหนึ่งจำพวกรู้ฉลาด รู้ไปหมด แต่เป็นการรู้และการฉลาดในทางที่ไม่ถูกต้อง ท่านเคยไหมที่สอนหรือหวังดีต่อใครสักคน แต่บุคคลท่านนั้นกลับมองเห็นเป็นเรื่องง่าย ไม่เห็นควรทำเลยหรือจะทำเมื่อไหร่ก็คงได้

เพราะแค่นี้ฉันเองก็ดีพออยู่แล้ว บุคคลจำพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่สอนยาก เนื่องด้วยเห็นว่าตัวเองเก่งเลิศ มิมีเรื่องใดที่ไม่รู้รู้ทุกเรื่องแต่เลือกที่จะไม่ทำ ดูเหมือนเป็นคนฉลาดและมีความคิด แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นกลุ่มคนที่โง่ และน่าสงสารมากที่สุด เพราะบุคคลกลุ่มนี้จะไม่เคยคิดที่จะทำอะไรดีๆให้ตัวเองเลยเนื่องจากเชื่อว่าตัวเองเก่งอยู่แล้ว ข้าพเจ้าหวังว่าผู้อ่านของข้าพเจ้าคงจะหลีกเลี่ยงที่จะเป็นกลุ่มนี้

จำพวกที่สองใจอ่อน เคยไหมครับตอนที่อยู่กับเรา พูดกับเราก็ดูมีกำลังใจ ทำได้ แต่พอห่างสักนิดก็ลืม หรือไม่คิดแม้นจะเก็บไปคิดที่จะทำหรือแก้ไข คนกลุ่มนี้อาจจะต้องพูดย้ำบ่อยครั้ง หรือต้องคอยอยู่ใกล้ๆ คอยย้ำเตือนสติอยู่เสมอ

จำพวกที่สามคนช่างผลัด พวกนี้เข้าใจดีและยอมรับดี เห็นดีด้วย เพียงแต่ว่าขอเลื่อนไปทำพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือว่า อาทิตย์หน้า สุดท้ายเวลาของเขาก็ไม่เคยมาถึง

ที่ข้าพเจ้าแยกประเด็นกลุ่มข้างบนออกมาก็เพราะว่าอยากให้ท่านผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของความคิดและการใช้เวลา ถ้าท่านมีความคิดดีๆใดๆที่จะกระทำเพื่อตัวท่านเองจงรีบกระทำการนั้นเสีย อย่าได้ปล่อยให้ล่วงเลยไปเสียเด็ดขาด การได้เรียนรู้ ความคิด แนวการทำงานหรือข้อคิดดีๆจากท่านที่ประสบความสำเร็จเป็นทางเลือกของผู้ฉลาด เพราะท่านสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตของท่านโดยไม่ต้องเสียเวลาเจอหรือค้นหาด้วยตนเอง รวมทั้งยังเป็นข้อมูลแก่ชีวิตของท่านในการปรับมาใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้อีกเช่นกัน

ในปัจจุบันคนอ่อนแอง่ายเสียเหลือเกิน การหางาน การทำชีวิตให้ประสบความสำเร็จดูเป็นเรื่องยากด้วยข้ออ้างที่ว่าเราเกิดมาไม่เก่ง ไม่มีโอกาส ไม่มีความสามารถหรือไม่รวย เกิดมาบนกองเงินกองทอง แม้นกระทั่งโชคไม่เข้าข้างเป็นข้ออ้างที่ดูทำได้ง่ายและดูมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงแล้วความสำเร็จเป็นของท่านที่ได้พยายามเท่านั้น ในโลกนี้มีคนรวยมากมายที่ล้มเหลว มีโอกาสมากมายที่ไม่มีคนใช้ มีคนเก่งมากมายแต่ไม่ประสบความสำเร็จใดๆเลย จะมีเพียงแต่คนมีความเพียรพยายามเท่านั้น กลุ่มคนเหล่านั้นจึงได้เป็นผู้ชนะ น้อยนักที่ผู้ประสบความสำเร็จจริงๆ จะเป็นคนรวยมาก่อนหรือเหตุผลอื่นใดมากกว่าเป็นผู้ที่มากด้วยความเพียรพยายาม มีความคิดที่ดี ที่ถูกต้อง และเป็นคนไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

ท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการเป็นท่านหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในเรื่องนี้ ท่านหลวงวิจิตรวาทการเกิดในปี 2441 ในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย อาจจะจัดได้ว่ายากจนด้วยซ้ำไป ตั้งแต่สมัยเด็กก็เป็นเด็กที่ชอบศึกษา อ่านหนังสือ แต่เนื่องด้วยพ่อแม่ไม่สามารถส่งให้เรียนได้จึงได้สอบเข้าทางธรรมและได้มีโอกาสเรียนจนถึงอายุ 20 ปี ซึ่งได้มีโอกาสออกมาทำงานเป็นครั้งแรกที่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีเงินแม้นกระทั้งจะซื้อหนังสืออ่านสำหรับการทำงานที่กระทรวงโดยต้องอาศัยวิธีการยืมหนังสือของเพื่อนมาขอคัดลอกเอาเป็นเล่มไว้อ่านเอง ตัวท่านหลวงวิจิตรวาทการเองเคยกล่าวไว้ในหนังสือประวัติของท่านเองว่า

ความจำเป็นเป็นเหตุแห่งความเจริญ ข้าพเจ้ามีความจำเป็นต้องต่อสู้กับความยากจนในชีวิต และในชีวิตของข้าพเจ้าไม่เหมือนชีวิตของคนอื่น กล่าวคือถ้าไม่ต่อสู้ด้วยกำลังแขนของตนเอง ข้าพเจ้าก็ต้องอดตายไปนานแล้ว ของทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องจัดหาเอง ไม่มีใครมาหยิบยกให้ แต่โดยความพยายามซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่ไม่แพ้มนุษย์ใดๆ ประกอบกับความจำเป็นที่บังคับให้ข้าพเจ้าต้องพยายาม ข้าพเจ้าจึงสามารถทำความเจริญให้แก่ตัวเองได้บ้าง

ท่านหลวงวิจิตรวาทการมีประวัติการทำงานเริ่มต้นเป็นเพียงแค่เสมียนในกองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ แต่เนื่องด้วยเป็นบุคคลที่ใฝ่ขยันและเรียนรู้ที่จะประพฤติปฎิบัติตนให้ดีที่สุดโดยทั้งมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างถูกต้อง ในการเป็นคนดีมากกว่ามีปมด้อยว่าด้อยโอกาสหรือยากจน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นบุคคลท่านหนึ่งที่ขยันทำงานและเรียนรู้ ไม่ว่าต้องพบเจออุปสรรคใดก็หาให้ท่านผู้นี้ท้อแท้หรือท้อถอยไม่ เป็นบุคคลท่านที่ไม่ยอมทิ้งชีวิตของตนเองไว้กับโชคชะตาหรือว่าพี่งพาใคร ด้วยเหตุแห่งคิดทำดีและมีความคิดที่ถูกต้องทำให้ท่านประสบความสำเร็จในชีวิตถึงดำรงตำแหน่งท่านทูตระหว่างประเทศรวมทั้งกรรมการ ประธาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบกับตำแหน่งสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญต่างๆในสมัยนั้น ถ้าต้องให้เล่าประวัติของท่านอย่างละเอียดคงเป็นเรื่องที่ยาวมาก อยากให้ท่านผู้อ่านไปหาซื้อหนังสือประวัติของท่านมาอ่านเองคงได้ประโยชน์รวมทั้งได้เก็บไว้เป็นหนังสือที่เอาไว้อ่านยามที่ต้องการกำลังใจ

ข้าพเจ้าอยากเขียนถึงข้อคิดในการทำงานที่ท่านพลตรีหลวงวิจิตรได้ทิ้งไว้ให้เราๆ ท่านๆ ได้นำไปใช้เป็นหลักในการทำงานเพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานและให้มีความเชื่อที่ถูกต้องว่าตัวเราสามารถที่จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตได้ ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจมากล่าวไว้เป็นบางเรื่องดังต่อไปนี้

ปัญหาสำคัญในเรื่องกุศลโลบายสร้างความยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่ว่าเราจะแปลความยิ่งใหญ่ไปในทางใด หรือว่าเราต้องการความยิ่งใหญ่ในทางไหน ถ้าต้องการความยิ่งใหญ่ในทางอำนาจวาสนาหรือความยิ่งใหญ่ในชีวิต ท่านก็จะเห็นเองว่าความยิ่งใหญ่ในทางนั้นไม่ได้ให้ความผาสุกแก่ตัวผู้ยิ่งใหญ่และไม่แน่ใจว่าจะยิ่งใหญ่ได้ตลอดไปหรือไม่อาจถูกทำลายได้ง่ายๆ ส่วนความยิ่งใหญ่ทางจิตใจเป็นความยิ่งใหญ่ที่ถาวร ให้ความผาสุกและจะไม่มีใครทำลายลงได้เลย

สำหรับข้อคิดข้างบนก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับท่านผู้ทำงานหรือผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จหรือความยิ่งใหญ่ นั่นหมายถึงว่าท่านให้ความหมายของคำว่าประสบความสำเร็จหรือความยิ่งใหญ่ในตัวท่านอย่างไร ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น แต่เป็นสิ่งที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าต่อท่านมากสุดก็พอ ท่านได้ทำและทำสำเร็จท่านก็มีความสุข นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจเป็นเรื่องง่ายๆ เช่นว่าการได้ทำงานและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวโดยปราศจากภาะหนี้สินมิต้องติดอันดับเป็นผู้รวยล้นแต่อย่างไร เป็นต้น

กุศลโลบายอันดีที่สุดในการสร้างความยิ่งใหญ่นั้นคือพยายามให้ตัวเองรู้จักผู้อื่นมากกว่าที่จะให้ผู้อื่นรู้จักตัวเอง พยายามให้ตัวเองเข้าใจคนอื่นมากกว่าที่จะให้คนอื่นเข้าใจตัวเอง พยายามให้ตัวเองรู้จักคนอื่นไม่ใช่พยายามให้ผู้อื่นรู้จักตัวเองแต่ฝ่ายเดียว

มีผู้กล่าวว่าการสร้างความยิ่งใหญ่นั้นง่ายนิดเดียวคือเห็นแก่ตัวให้น้อยหน่อยเท่านั้น แต่การสละละทิ้งความเห็นแก่ตัวนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะมนุษย์เราจำต้องมีชีวิตอยู่ต้องเลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัว ความรู้สึกระลึกถึงตัวก็ย่อมจะต้องมีอยู่เป็นธรรมดา คนที่สามารถสละละทิ้งความเห็นแก่ตัวได้เด็ดขาดย่อมเป็นมนุษย์พิเศษและสร้างความยิ่งใหญ่ได้จริงๆ แต่เมื่อเราทำอย่างนั้นไม่ได้ก็ต้องเห็นแก่ตัวน้อยหน่อย หนทางสร้างความยิ่งใหญ่ก็จะมีขึ้น

เราเองแม้นไม่สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้ประสบความสำเร็จจนถึงขนาดถูกจารึกชื่อเราเองก็สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตของเราเองก็พอเพียงแค่ได้ทำประโยชน์ในขอบเขตและความสามารถที่เราทำได้ได้เป็นคนดีของสังคมและที่สำคัญคนที่เรารักครอบครัวของเราก็พอ

การดูความเป็นไปของมนุษย์เราควรมองดูแต่ทางที่ดีคนทุกคนในโลกย่อมมีดีและชั่วระคนกันอยู่ในตัวเสมอ ถ้าเราจะค้นหาคนที่ดีพร้อมทุกอย่างไม่ด้างพร้อย ไม่เคยทำอะไรผิดเลยแล้วก็คงไม่ง่ายกว่าที่จะค้นหาเข็มในสมุทร ฉะนั้นถ้าเราจะศึกษาหาประโยชน์จริงๆ แล้วก็ควรมองดูแต่ทางที่ดีงาม เช่นถ้าเรามีโอกาสจะเข้าใกล้ชิดท่านผู้ใหญ่เราควรพยายามพิเคราะห์ว่าท่านผู้นี้มีมีอะไรดีบ้าง ไม่ใช่มองดูว่ามีทางเสียอยู่อย่างไรบ้าง ทำได้ดังนี้จะเป็นประโยชน์แก่เรามากโดยที่เราสามารถจะนำเอาคุณสมบัติของท่านมาเป็นแบบอย่างสำหรับเรา

คนที่มีหัวใจแข้มแข็งนั้นย่อมไม่รู้จักฉุนเฉียวหรือโกรธง่าย คนที่โกรธง่ายคือคนอ่อนแอไม่สามารถจะบังคับตัวของตัวเอง ผู้ที่เข้มแข็งนั้นไม่รู้จักหวาดกลัวต่ออันตรายและไม่คิดว่าตัวเกิดมาเคราะห์ร้ายหรือว่าบุคคลและสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นศัตรูแก่ตัว คนอย่างนี้ไม่มีใครสามารถจะเอาชนะได้ เพราะถึงแม้ผู้ที่เบียดเบียนกลั่นแกล้งจะมีโอกาสทำร้ายได้สักเพียงไรก็ทำได้แต่กายตัว จะทำร้ายหัวใจด้วยไม่ได้ หากจะถูกประทุษร้ายจนย่อยยับก็สามารถก่อร่างสร้างตนให้กลับดีขึ้นได้อีกโดยรวดเร็วด้วยอำนาจหัวใจที่แข้มแรงไม่ย่อท้อ

มีหลักที่ควรเชื่ออยู่อันหนึ่งว่าเคราะห์ร้ายนั้นมันจะเอาชนะเราไม่ได้จนกว่าเราจะยอมแพ้มัน คนที่มีลักษณะเข้มแข็งนั้นสามารถจะร้องท้าให้ตัวเคราะห์เดินเรียงกันเข้ามาเป็นแถวๆ และจะต่อสู้ให้มันพ่ายแพ้ไปด้วยอำนาจหัวใจของตนเอง มนุษย์ที่มีลักษณะเข้มแข็งแล้วย่อมไม่รู้จักเคราะห์ร้าย

"ในเวลาที่เราตกอยู่ในความทุกข์ยากเท่านั้นที่เราจะรู้จักตัวของเราเอง รู้จักเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง รู้ว่าใครดีใครไม่ดี สิ่งไม่ดีที่เราทำไว้จะระดมเข้ามาให้ผลร้ายแก่เราในเวลานั้น ถ้าหากเราพยายามต่อสู้ได้ เราจะปลดเปลื้องเรื่องร้ายทั้งหลายให้หมดไปและตั้งต้นชีวิตใหม่ได้อย่างสะดวกสบายที่เดียว"

"โชคร้ายเท่านั้นที่จะช่วยให้เรารู้จักญาติมิตรของเราตามที่เป็นจริง แทนที่โชคร้ายจะเป็นความร้ายโชคร้ายกลับเป็นความดีที่ช่วยให้เราสามารถกลั่นกรองเอาญาติมิตรที่ดีไว้และกวาดทิ้งญาติมิตรที่ร้ายออกไป นักปราชญ์หลายคนกล่าวว่าโชคร้ายเท่านั้นที่จะช่วยให้เรารู้จกตัวเองและรู้จักคนอื่นด้วย"

"อันที่จริงชีวิตลำบากนั่นเองเป็นเหตุทำคนให้เป็นคนเพราะความลำบากชั่วขณะหนึ่งย่อมจะเป็นผลดีไปชั่วกาลนาน ถ้าเราจะต้องการรู้จักว่าคนเราจะรอดพ้นความลำบากได้อย่างไรเราก็ต้องยอมเข้าประจันหน้ากับความลำบาก"

"บุคคลอื่นอาจจะก่อผลร้ายให้เราได้ แต่จะไม่ร้ายเท่ากับที่เราก่อให้แก่ตัวเอง มนุษย์เราทำร้ายตัวเองมากกว่าที่คนอื่นทำร้าย ความเสียหายที่เราก่อให้แก่ตัวเราเองมีพิษสงแรงร้ายกว่าที่คนอื่นทำให้เพราะผลร้ายที่ผู้อื่นก่อให้นั้นเราสามารถแก้ไขป้องกันตัวเองได้ แต่ถ้าเราเป็นผู้ทำให้แก่ตัวเราเองแล้วก็ไม่มีใครป้องกัน ไม่มีใครแก้"

ข้อคิดสำหรับท่านที่อาจหมดกำลังใจต่ออุปสรรคใดๆที่ผ่านเข้ามาโปรดระลึกไว้เสมอว่าอุปสรรคหรือความโชคร้ายที่เข้ามาหาเรานั้นไม่ช้าก็ผ่านไป จงแก้ไขด้วยกำลังอย่างดีที่สุดแล้วเราก็จะได้ผลประโยชน์จากความโชคร้ายนั้น มิมีผู้ใดในโลกนี้ที่มิได้เคยพานพบกับความโชคร้านใดๆในชีวิต เพียงแต่ท่านเหล่านั้นจะมีวิธีการบังคับหรือรับมือกับความโชคร้ายอย่างไร โชคร้ายผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเพียงแต่เราจะยอมให้ผ่านไปแล้วเก็บเอาประสบการณ์ที่ดีในการเรียนรู้หรือจะเลือกเก็บประสบการณ์ที่จะทำให้เราเจ็บปวดหรือรู้สึกแย่กับตัวเราเองเราเท่านั้นเป็นผู้เลือก

กิจการทุกอย่างที่จะนำเราไปสู่ความเจริญนั้นย่อมต้องมีการเสี่ยงเคราะห์อยู่เสมอ ในโลกนี้ไม่มีหนทางอันราบรื่น สำหรับนำไปสู่ความเจริญสักทางเดียว เราจะต้องบุกป่าฝ่าหนามไปทั้งนั้น

หลักจิตวิทยาที่รับรองกันทั่วไปนั้นมีอยู่ว่าการสร้างความพอใจให้แก่มนุษย์นั้นคือการที่แสดงให้เห็นว่าเราเชื่อว่าเขามีความสำคัญ เขามีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเราสำคัญคนเดียวหรือเรามีประโยชน์แต่ผู้เดียว

ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์มาให้ขยัน เราจะเห็นได้ว่าเด็กที่เกิดมาพอที่จะเคลื่อนคลานหรือเดินได้ก็อยู่ไม่สุขเราเรียกพฤติการณ์อันนี้ว่า ซนแต่ความจริงเป็นเรื่องที่ธรรมชาติสร้างมาให้มนุษย์ขยันขันแข็ง

ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์และสัตว์ให้ต่อสู้อุปสรรคให้ออกแรงทำความมานะพยายาม ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ปลาต้องว่ายทวนน้ำ มนุษย์เราก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน เราจะมีชีวิตอยู่ได้ ก่อร่างสร้างฐานะของเราได้ จะหล่อหลอมอนาคตขึ้นได้ เราจำต้องเผชิญกับอุปสรรค ชีวิตที่ไม่เคยเผชิญอุปสรรคจะไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด ว่าวที่จะขึ้นสูงได้เพราะมันต้านลม ว่าวที่จะปลิวไปตามลมนั้นก็คือว่าวที่ขาดลอย"

สำหรับสุดท้ายก่อนที่ข้าพเจ้าจะมีโอกาสนำเสนอ The Most Admired Person เดือนหน้าข้าพเจ้าก็ขอฝากอีกครั้ง กับข้อคิดข้างล่างของท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ

การที่จะเผชิญชีวิตหรือฟันผ่าอนาคตให้ลุล่วงไปด้วยดีเราต้องถือท้ายยึดพวงมาลัย ควบคุมทางดำเนินชีวิต เราจะต้องรับผิดชอบโดยถือหลักว่าความดีความไม่ดีเป็นสิ่งที่เราสร้างของเราเอง เราจะต้องให้อนาคตอยู่ในบังคับและควบคุมของเราและเพื่อการนี้เราจะต้องมีกำลัง 3 ประการ คือ กำลังกาย กำลังความคิด และกำลังใจ กำลังกายหมายถึง เป็นผู้มีอนามัยดี ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเป็นความสำคัญ กำลังความคิด หมายถึง วิชาความรู้และมันสมองที่ดี และกำลังใจหมายถึงสมรรถภาพของดวงจิตที่เป็นเครืองส่งเสริมและควบคุมให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปโดยเรียบร้อยและเหมาะสม

เราควรจะตำหนิตัวเรามาก เรามีร่างกายที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ให้ใช้การได้ดี เรามีชีวิตที่สูงกว่าสิ่งทั้งหลาย แต่เราได้เลินเล่อ ละเลยไม่ควบคุม ปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตามเหตุการณ์ตามสิ่งแวดล้อม ตามความใคร่ ความปรารถนา เหมือนนายเรือที่ไม่ถือท้าย ปล่อยให้ชีวิตแล่นไปโดยปราศจากความยับยั้งรั้งตัว

การที่เราไม่ถือท้ายควบคุมทางดำเนินชีวิตของเราเองนั้นเป็นการที่เราทำลายตัวเอง ทำลายชีวิตซึ่งมีค่าสูงและหายากที่สุด บางทีเราปล่อยตัวของเราให้ดำเนินไปในหนทางที่เรารู้ว่าผิด เราไม่มีกำลังใจพอที่จะยับยั้งตัว ให้หันมาในทางที่ถูกปล่อยชีวิตของเราเสียไปทั้งชีวิต

เป็นการประหลาดเหลือเกินที่พวกเราโดยมากมักตีราคาชีวิตของเราเองต่ำเกินไป ถ้าเรามีเรือสักลำหนึ่งเราไม่ชอบถือท้ายควบคุม (ชีวิต) เพราะเป็นการฝืนใจไม่สนุก เราไม่ค่อยตั้งจุดหมายปลายทางของชีวิตให้แน่นอนเพราะเกียจคร้านที่จะคิด เราเห็นแก่ความสุขสนุกสบายชั่วครู่ชั่วขณะ ยอมรับความลำบาก ซึ่งบางทีก็รู้อยู่ดีว่าจะมีมาภายหลัง เราปล่อย ชีวิตให้ล่องลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์เหมือนปล่อยเรื่อให้แล่นไปตามกระแสน้ำแล้วเราก็ไม่ค่อยเฉลียวคิดว่าการทำเช่นนั้นเป็นการตีราคาชีวิตของเราต่ำกว่าเรื่อลำหนึ่งหรือรถคันหนึ่ง

ข้าพเจ้าหวังว่าข้อคิดดีๆทั้งหมดข้างบนซึ่งในความเป็นจริงยังมีอยู่อีกมากของท่านหลวงวิจิตรวาทการจะนำพาความคิดที่ดีและเป็นกำลังใจให้ท่านผู้อ่านได้คิดสร้างและปรับตัวเพื่อสิ่งดีๆสำหรับตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องรั้งรอให้ถึงโอกาสพิเศษอันใดแล้วค่อยกระทำนะครับ

ที่มา : http://www.missconsult.com/detail_most.php?id_most=5

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น