วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

วันนี้ในอดีต (๒๘ มกราคม ๒๕๕๗)

ช่วงพักเที่ยงวันวันนี้หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วผมเปิดดูเรื่ืองราวเก่าๆ ที่บันทึกไว้ตลอดตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จนถึงทุกวันนี้เผื่อจะมีอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์หรือนำแนวทางเก่าๆ มาใช้ในการทำงานตอนนี้ได้บ้าง ซึ่งก็มีหลายเรื่องเลยทีเดียวโดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการทำงานกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนตามสไลต์การทำงานของผมที่จะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นการออกไปพบปะเยี่ยมเยียน พูดคุย ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการป้องกันอาชญากรรมด้วยตนเองของพ่อแม่พี่น้อง,การให้ความรู้เกี่ยวกับกฎบัตรกฎหมาย,การจราจร,ยาเสพติด ฯลฯ เห็นแล้วก็มีความสุขอย่างน้อยที่สุดก็ในใจลึกๆ ของเราเองว่าเราก็พอจะทำประโยชน์แก่พี่น้องในอำนาจหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้บ้างเหมือนกัน ยิ่งเป็นเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาแล้วนำมาเปิดดูในช่วงหลังๆ แบบนี้ด้วยแล้วมันเป็นอะไรที่ปลื้มใจน่ะครับ

เรื่องราวที่ว่าเปิดดูนั้นมีอยู่ ๒-๓ เรื่องซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันนี้ของเมื่อ ๕ ปีที่แล้วสมัยผมรับราชการในตำแหน่ง สวป.ที่ สภ.พาน จ.เชียงราย ซึ่งผมใคร่ขอนำมาเผยแพร่ต่อในวันนี้สัก ๒ เรื่อง โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องที่ตัวแทนแม่ค้าในตลาดเทศบาลตำบลเมืองพานมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้ผมและเจ้าหน้าที่สายตรวจ สภ.พานเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ ๒๕๕๒ ซึ่งผมถือว่ามีค่าเป็นอย่างยิ่งในเรื่องน้ำใจโดยเรื่องราวนั้นผมได้บันทึกไว้ด้วยในหัวข้อเรื่อง "คำอวยพรจากใจแม่ค้า" ซึ่งมีดังนี้

เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น.พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา สวป.สภ.พาน ได้เป็นตัวแทนในนามของเจ้าหน้าที่สายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สภ.พานรับมอบของที่ระลึกและคำอำนวยอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๒ จากคณะพ่อค้าแม่ค้าหลังตลาดเทศบาลตำบลเมืองพานซึ่งมีนางเสาวนีย์ หล้าคำ แม่ค้าขายไก่เมืองเป็นตัวแทน โดยตัวแทนพ่อค้าแม่ค้ากล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจของเราที่ช่วยดูแลและปฏิบัติหน้าที่การตรวจตราแก่พี่น้องตลอดเรื่อยมาเป็นอย่างดีและแจ้งด้วยว่าในส่วนของพ่อค้าแม่ค้าหลังตลาดเทศบาลทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุกๆ ด้านเท่าที่จะกระทำได้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจของเราเพื่อให้อำเภอพานมีสงบสุขร่มเย็นตลอดไป 

ได้กล่าวขอบคุณในนามคณะเจ้าหน้าที่สายตรวจในการอำนวยอวยพรครั้งนี้และแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พานทุกคนพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อความอุ่นใจต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนตลอด ๒๔ ชั่วโมง

ข้อมูลอ้างอิง : http://goo.gl/nZYVH3

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องราวที่ผมนำเจ้าหน้าที่สายตรวจรับฟังธรรมะจากพระสงฆ์ก่อนออกปฏิบัติหน้าที่ครับ
เรื่องนี้ผมบันทึกรายละเอียดไว้ดังนี้

เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๕.๔๕ น. พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา สวป.ฯได้นำเจ้าหน้าที่สายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ผลัดที่จะปฏิบัติหน้าที่ระหว่างเวลา ๑๖.๐๐-๒๔.๐๐ น.เดินทางไปยังวัดเทพวัน ตำบลเมืองพาน เพื่อรับฟังธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักปฏิบัติก่อนออกปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายการสร้างคุณธรรม จริยธรรม และน้อมนำคำสั่งสอนตามหลักศาสนามาใช้เป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.มาโนช มีสกุลคุณ ผกก.สภ.พาน โดยในวันนี้ท่านพระอธิการแสวง กิตติธโร ท่านเจ้าอาวาสได้กรุณาแสดงธรรมะในเรื่อง ธรรมะที่เป็นอุปการะมาก ๒ อย่าง โดยมีข้อมูลพอสังเขปดังนี้แก่เจ้าหน้าที่
- สติ ความระลึกได้
-
 สัมปชัญญะ ความรู้ตัว
ธรรม
  ประการนี้เป็นอุปการะมาก มีส่วนเกื้อกูลมากต่อการทำงานหรือทำความดีทุกอย่าง ความสามารถที่จะรักษาศีลและวินัยคฤหัสถ์ได้บริบูรณ์หรือไม่ก็ขึ้นกับสติและสัมปชัญญะ ผู้มีธรรม 
 ประการนี้ ย่อมเป็นคนรอบคอบ ไม่ประมาท จะคิดจะทำจะพูดอะไรก็จะไม่ผิดพลาดเสียหาย

สติ ความระลึกได้หมายถึงระลึกได้ถึงการกระทำ คำที่พูดและเรื่องที่คิดแม้ที่ล่วงมาแล้วได้หรือระลึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต เช่น กำหนดว่าชั่วโมงต่อไปนี้หรือพรุ่งนี้จะทำอะไรก็นึกขึ้นมาได้ หน้าที่ของสตินั้นเป็นไปได้ ๒ กาล คืออดีตและอนาคต
สัมปชัญญะ  ความรู้ตัว  หมายถึงความรู้ตัวที่เป็นไปในปัจจุบันในขณะที่กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด หรือทำ พูด คิด อะไรอยู่ก็รู้ตัวในขณะนี้ เช่น เรากำลังอ่านหนังสืออยู่ขณะนี้ก็รู้ว่าเรากำลังอ่านหนังสือ เรากำลังพูดอยู่ก็รู้ตัวว่าเรากำลังพูด เรากำลังจะกระทำในเรื่องผิดศีลก็รู้ว่ากำลังจะกระทำผิด เรากำลังจะเล่นการพนันก็รู้และเร่งรีบเตือนตนว่ากำลังจะกระทำผิด อยู่ฉะนั้น หน้าที่ของสัมปชัญญะ ย่อมเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น

ลักษณะที่ดีของสัมปชัญญะ   สัมปชัญญะที่ถูกต้องตามธรรมและหลักคำสอนของพุทธศาสนามี ๕ ประการ คือ
๑. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์หรือไม่
๒. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเหมาะกับตนหรือไม่
๓. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นความทุกข์หรือสุขอย่างไร
๔. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นความงมงายหรือไม่
. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเลื่อนลอยไร้สาระหรือไม่

ความรู้ตัวในขณะที่ทำนั้น มิใช่เพียงแต่รู้ตัวว่ากำลังทำเฉยๆ หากแต่ต้องเป็นความรู้ตัวซึ่งประกอบด้วยองค์ลักษณะ ๔ ประการ โดยกล่าวสรุปว่า
๑. มีประโยชน์หรือไม่
๒. เหมาะสมกับตนหรือไม่
๓. เป็นความทุกข์หรือความสุข
๔. เป็นความฉลาดหรืองมงาย เลื่อนลอย ไร้สาระ
ความรู้ตัวอย่างที่กล่าวมานี้เป็นองค์ประกอบสัมปชัญญะที่ถือว่ามีอุปการะมากก็เพราะ เมื่อรู้ตัวแล้วจะได้ปรับปรุงแก้ไขในการทำงานให้ดีมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ไม่มัวทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไม่มัวทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเพศภาวะของตน ไม่มัวทำในวิธีการผิดๆ และไม่มัวทำในเรื่องที่งมงายไร้สาระเป็นต้น

ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราจะน้อมนำธรรมะคำสั่งสอนนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในหน้าที่การงานและส่วนตัวต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง : http://goo.gl/FpwsWZ

ครับ นี่ก็คือเรื่องราวที่น่าประทับใจของผมในวันนี้เมื่อ ๕ ปีที่ผ่านมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น